ในแวดวงตลาดรถยนต์ไทยที่กำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้น VinFast VF 5 นับเป็นตัวเลือกใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมการผสมผสานอันลงตัวระหว่างคุณภาพ, สไตล์อันโดดเด่น และการบริการหลังการขายที่เหนือระดับ แนวทางธุรกิจ ซึ่งมุ่งเน้นคุณค่าแบบนี้ คือ จุดแข็งสำคัญในการมัดใจผู้บริโภคชาวไทย ด้วยการสร้างความมั่นใจ และความคุ้มค่าในการลงทุนให้กับลูกค้าที่มองหาความพึงพอใจในการครอบครองรถยนต์ในระยะยาว
วินฟาสต์ เตรียมประเดิมตลาดประเทศไทยด้วยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น VinFast VF 5 กับแนวทางในการสร้างจุดขายที่แตกต่างไปจากแบรนด์อื่นๆ VF 5 คือ รถขนาดกะทัดรัดแบบ ซิตี้คาร์ จับกลุ่มผู้ซื้อรถคันแรก และผู้ขับขี่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และมีค่าใช้จ่ายโดยรวม ต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินอย่างชัดเจน
สำหรับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ในเมือง รถยนต์เป็นมากกว่าพาหนะในการเดินทาง แต่ยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงบุคลิกภาพ ไลฟ์สไตล์ และสะท้อนคุณค่าในตัว เพื่อดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ วินฟาสต์ คว้า “คิม ยูจอง” ซูเปอร์สตาร์ของเอเชียชาวเกาหลีใต้ มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ VF 5 ด้วยการออกแบบที่เปี่ยมด้วยสไตล์อันโดดเด่น และตัวเลือกสีรถที่ปรับแต่งได้ ทำให้ VF 5 เปรียบเสมือนผืนผ้าใบที่เจ้าของสามารถเลือกวาด และระบายสีได้อย่างใจ เพื่อแสดงออกถึงความเป็นตัวตน
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับคุณสมบัติทางเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาด 8 นิ้ว และแอพสมาร์ทโฟน สำหรับการควบคุมสั่งการระบบในรถยนต์ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อความสะดวกสบายสูงสุดในการขับขี่ ผู้ขับสามารถบันทึกโปรไฟล์ของตน และซิงค์ข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ ซึ่งทุกครั้งที่ขึ้นรถ การตั้งค่าทั้งหมดจะเหมือนกับที่เคยตั้งไว้ก่อนหน้านี้
การเชือดเฉือนด้วยราคา ประโยชน์ของผู้บริโภค หรือเนื้อร้ายของแวดวงธุรกิจ ?
สงครามราคา แม้จะดูเหมือนเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคที่สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ต่ำกว่า แต่มักจะปกปิดความสูญเสียบางอย่างไว้ ซึ่งจะส่งผลทางลบต่อผู้บริโภคในระยะยาว แม้ว่าผลิตภัณฑ์ลดราคามักมีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้ซื้อได้เสมอ แต่หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน มักจะพบว่าผลประโยชน์ที่ได้รับในระยะสั้นจะตามมาด้วยผลเสียในระยะยาวสำหรับผู้บริโภค
การที่ผู้ผลิตพยายามลดราคาสินค้า เพื่อดึงดูดลูกค้า ส่งผลให้อัตรากำไรลดลง จึงจำเป็นต้องตัดต้นทุนบางอย่างเพื่อความอยู่รอด คุณภาพสินค้าอาจน้อยลง มาตรฐานการบริการลูกค้าอาจด้อยลง และมาตรฐานความปลอดภัยบางอย่างอาจถูกมองข้าม ผลิตภัณฑ์ที่เคยน่าดึงดูดใจเนื่องจากราคาเข้าถึงได้ง่ายอาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการเพราะคุณค่าลดน้อยถอยลง
เมื่อผู้ผลิตต้องห้ำหั่นกันด้วยการกดราคาสินค้าให้ได้ต่ำที่สุด นวัตกรรมจะกลายเป็นส่วนเกิน งบประมาณการวิจัย และพัฒนา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาทางเทคโนโลยีจะถูกตัดออก เพื่อผลประโยชน์ในระยะสั้นด้านราคา ผลที่ตามมา คือ ผลิตภัณฑ์ที่ขาดความล้ำหน้า และทางเลือกอันจำกัด
ภายใต้ภาวะสงครามราคา ภาพรวมของอุตสาหกรรมอาจได้รับผลกระทบเช่นกัน ผู้เล่นที่อ่อนแอกว่าอาจไม่สามารถไปต่อได้ ส่งผลให้อัตราการแข่งขันลดลง และในระยะยาวสินค้าอาจกลับมีราคาสูงขึ้นไปอีก และตลาดก็อาจจะหดตัวลง ส่งผลให้ผู้บริโภคมีทางเลือก และอำนาจต่อรองน้อยลง
สิ่งสำคัญคือ ผู้บริโภคต้องเข้าใจว่าราคาต่ำสุดไม่ได้หมายถึงคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดเสมอไป สำหรับวินฟาสต์ การมุ่งให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่น และการนำเสนอบริการที่มีมูลค่าเพิ่มคือทางรอดของธุรกิจในอนาคต ที่วินฟาสต์ต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ราคาเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในสมการแห่งความพึงพอใจของผู้บริโภคอันซับซ้อน ด้วยการมุ่งเน้นไปที่การมัดใจลูกค้า การมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคล และมาตรฐานคุณภาพที่เหนือกว่า
แข่งขันด้วยมูลค่าเพิ่ม คือ วิถีของวินฟาสต์
นอกเหนือจากการพัฒนารถยนต์ที่มีรูปลักษณ์สวยงาม และอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ วินฟาสต์ยังมุ่งมั่นกับการมอบบริการหลังการขายที่เป็นเลิศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้บริโภคชาวไทยจำนวนมาก ด้วยการรับประกันระบบส่งกำลังเป็นเวลา 7 -10 ปี หรือ 160,000 – 200,000 กม. และการรับประกันแบตเตอรี่เป็นเวลา 8 – 10 ปี เพื่อความอุ่นใจของผู้ใช้รถในระยะยาว
ขณะนี้ วินฟาสต์กำลังสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายที่ครอบคลุมในประเทศไทย โดยวางแผนเปิดโชว์รูมประมาณ 30 แห่งภายในปี 2567 นี้ เริ่มต้นจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล จากนั้นจะขยายไปทั่วประเทศ นอกจากนั้น ยังมีบริการจัดส่งอะไหล่ด่วน โดยจัดส่งในกรุงเทพฯ ภายใน 24 ชั่วโมง และจัดส่งในพื้นที่อื่น ๆ ภายใน 3 วัน