Triumph Motorcycles ขนกองทัพรถจักรยานยนต์ ตรึงพื้นที่บูธงาน มอเตอร์โชว์ 2024 เปิดตัวรถจักรยานยนต์ 5 รุ่นใหม่ ใน 3 เซ็กเมนต์ สำหรับปี 2024 โดย นายชินศักดิ์ กิตติอมรกุล ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการเชิงพาณิชย์ บริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับงานมอเตอร์โชว์ 2024 ครั้งนี้ ไทรอัมพ์ เดินหน้าการเป็นแบรนด์พรีเมี่ยมบิ๊กไบค์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ ที่ไม่หยุดนิ่งในการรังสรรค์รถจักรยานยนต์หลายประเภท และบริการครอบคลุม เพื่อส่งมอบประสบการณ์ในการขับขี่ที่เหนือระดับ และความสมบูรณ์แบบให้ผู้ขับขี่ทุกคน
เริ่มต้นที่เซ็กเมนต์ Rocket ที่ประกอบด้วย Rocket 3 Storm R (ร็อกเก็ต 3 สตรอมอาร์) และ Rocket 3 Storm GT (ร็อกเก็ต 3 สตรอมจีที) สุดยอดโรดสเตอร์เจนเนอเรชั่นใหม่ ที่มาพร้อมสไตล์โฉบเฉี่ยวสะดุดตา พร้อมมอบประสบการณ์ในการขับขี่อันน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในสายพานการผลิต กับขนาดความจุเครื่องยนต์ 2,458 ซีซีมอบกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นถึง 15 แรงม้า ทำให้มีพละกำลังสูงสุด 182 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที ในขณะที่แรงบิดเพิ่มขึ้นอีก 4 นิวตันเมตร เป็น 225 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที
ด้านรูปลักษณ์ทั้งสองรุ่นมาพร้อมถังน้ำมันขนาดใหญ่ 18 ลิตร ล้อหลังขนาด 16 นิ้ว และล้อหน้า 17 นิ้ว ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ทั้งในการเลือกใช้วัสดุ และการออกแบบด้วยลวดลาย 10 ก้าน ให้เกิดความรู้สึกสปอร์ตยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีเฟรมอะลูมิเนียมที่แข็งแกร่ง และน้ำหนักเบา จับคู่กับคุณลักษณะเฉพาะระดับพรีเมี่ยม ด้วยโช๊คคู่หน้าแบบหัวกลับจาก Showa ขนาดใหญ่ 47 มม. สามารถปรับได้ทั้ง Rebound และ Compression ช่วยส่งมอบประสิทธิภาพในการควบคุมอย่างน่าประทับใจ ส่วนโช๊คหลังเดี่ยว RSU ของ Showa มาพร้อมซับแทงค์ที่สามารถปรับตั้งค่าได้เต็มระบบ
รวมทั้งพลังในการหยุดรถที่เหนือชั้นเทคโนโลยีเพื่อผู้ขับขี่ อาทิ คาลิปเปอร์เบรกหน้าแบบเรเดียลจาก Brembo Stylema สเปคสูงสุด พร้อมจานเบรกคู่ขนาด 320 มม. ส่วนคาลิปเปอร์เบรกหลัง แบบโมโนบล็อกเรเดียล 4 ลูกสูบจาก Brembo M4.32 และจานเบรกหลัง 300 มม. ขณะเดียวกันยังมีระบบ Optimised Cornering ABS และ Optimised Cornering Traction Control รวมถึงระบบ Cruise Control พร้อมโหมดการขับขี่ 4 โหมด ได้แก่ Road, Rain, Sport และ Rider-configurable
นอกจากนี้ ทั้ง 2 รุ่น ยังมากับจอแผงหน้าปัด TFT แบบ Full Colour พร้อมจอยสติ๊ก 5 ทิศทางแบบเรืองแสง, ช่องชาร์จไฟ USB, ระบบสตาร์ทแบบไร้กุญแจ และล็อคพวงมาลัยเป็นมาตรฐาน รวมถึงอุปกรณ์เสริมที่สามารถติดตั้งเพิ่ม เพื่อเชื่อมต่อกับรถจักรยานยนต์ในการนำทางแบบ Turn-by-Turn, การใช้งานควบคุมโทรศัพท์ และการฟังเพลง ตลอดจนมีอุปกรณ์เสริมของแท้มากกว่า 50 รายการให้เลือก เพื่อสร้างรถจักรยานยนต์ในสไตล์ของผู้ขับขี่
Rocket 3 Strom ทั้ง 2 รุ่น โดดเด่นด้วยโทนสีดำเคลือบอโนไดซ์คุณภาพสูงรอบคัน และคุณภาพของรายละเอียดในระดับไร้ที่ติ โดยแต่ละรุ่นมีตัวเลือกสีทูโทนที่แตกต่างกัน 3 รูปแบบ โดยรุ่น Rocket 3 Storm R ราคา 1,049,000 บาท พร้อมสีตัวเลือก คือ สี Carnival Red/Sapphire Black, สี Satin Pacific Blue/Matt Sapphire Black และสี Sapphire Black/Granite
ในขณะที่รุ่น Rocket 3 Storm GT ราคา 1,079,000 บาท มีจำหน่ายในโทนสีเดียวกัน แต่แตกต่างกันด้วยการสลับด้านของสี พร้อมรับประกันคุณภาพ Triumph Warranty 2 ปี แบบไม่จำกัดระยะทาง รวมถึงความคุ้มค่าของช่วงเวลาการเข้ารับบริการเช็คระยะที่สูงถึง 16,000 กิโลเมตร ตลอดจนฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง (Triumph Roadside Assistance) เป็นระยะเวลา2 ปี
ต่อเนื่องด้วยเซกเมนต์ Adventure รุ่นล่าสุดปี 2024 ได้แก่ Tiger 900 GT Pro (ไทเกอร์ 900 จีที โปร) และ Tiger 900 Rally Pro (ไทเกอร์ 900 แรลลี่ โปร) ที่ได้อัปเกรดเครื่องยนต์ 3 สูบ ขนาด 900 ซีซีใหม่ อย่างมีนัยสำคัญ ให้พละกำลังเพิ่มขึ้นจากเดิม 13% สูงสุด 108 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่สูงขึ้น 90 นิวตันเมตร ทั้งยังให้ความสามารถในการยึดเกาะถนนที่ดีขึ้นในช่วงรอบเครื่องที่ต่ำลง จากเพลาข้อเหวี่ยงแบบ T-Plane ที่สมดุลกับช่วงจุดระเบิด
ตัวรถทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมโครงแบบแยกส่วนที่มีน้ำหนักเบา, ชิลด์หน้าปรับได้, เบาะนั่งปรับสูงต่ำได้ 20 มม. และถังน้ำมันขนาด 20 ลิตร, ระบบไฟ LED ทั้งหมด รวมถึงไฟหน้า DRL อันเป็นเอกลักษณ์, ไฟท้ายขนาดกะทัดรัด, สวิตช์คิวบ์แบบเรืองแสง, มือจับ และเบาะนั่งแบบปรับอุณหภูมิความร้อนได้ และมีระบบการเชื่อมต่อ My Triumph เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทำให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงการฟังเพลง, การคุยโทรศัพท์ และระบบนำทางแบบ Turn by Turn ผ่านจอแสดงผล TFT ขนาด 7 นิ้ว ที่ใช้งานง่าย และอ่านง่าย ทั้งนี้รุ่น Tiger 900 GT Pro ที่เน้นการใช้งานบนถนน จะมากับล้ออัลลอยด์น้ำหนักเบาขนาด 19 นิ้ว ที่ด้านหน้าและ 17นิ้ว ที่ด้านหลัง เพื่อความสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างการควบคุมบนถนน และความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรด ขณะที่ Tiger 900 Rally Pro ใช้ล้อซี่ลวดแบบไม่มียางใน จับคู่กับล้อหน้าขนาด 21 นิ้ว
ส่วนคุณสมบัติด้านความปลอดภัยแบบแอคทีฟใหม่ทั้งหมด เพื่อสมรรถนะสูงสุดบนถนน และทางออฟโรด อาทิเบรก Brembo Stylema® Monobloc ซึ่งรุ่น Tiger 900 GT Pro มาพร้อมโช๊คหัวกลับ Marzocchi ขนาด 45 มม. ที่ปรับได้อย่างเต็มที่ พร้อมโช๊คหลังที่ปรับ Preload และ Rebound ได้ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยระยะยุบตัวของล้อหน้าอยู่ที่ 180 มม. ส่วนระยะยุบตัวของล้อหลังอยู่ที่ 170 มม. ขณะที่รุ่น Tiger 900 Rally Pro มาพร้อมโช๊คหัวกลับ Showa ขนาด 45 มม. ที่ปรับได้อย่างเต็มที่ทั้ง Preload, Rebound และ Compression โดยโช๊คหลังสามารถปรับ Preload และ Rebound ได้ มาพร้อมระยะยุบตัวของล้อหน้าอยู่ที่ 240 มม. ส่วนระยะยุบตัวของล้อหลังอยู่ที่ 230 มม.
อีกทั้ง 2 รุ่นยังมากับเทคโนโลยีเพื่อผู้ขับขี่ อาทิ ระบบ Optimised Cornering ABS และTraction Control ที่มาพร้อมระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (TPMS), ระบบตรวจจับแรงเฉื่อย IMU (Inertial Measurement Unit) และระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์ Triumph Shift Assist เป็นมาตรฐาน โดยรุ่น Tiger 900 GT Pro มีโหมดขับขี่ทั้งหมด 5 โหมด ได้แก่ Road, Rain, Sport และ Off-Road รวมถึง Rider Configurable ส่วนรุ่น Tiger 900 Rally Pro จะมากับโหมดขับขี่ 6 โหมด เสริมด้วยโหมด Off-Road Pro ที่เพิ่มเติมเข้ามา
พร้อมกันนี้ Tiger 900 GT Pro และ Tiger 900 Rally Pro ยังมีสไตล์ Tiger ที่ดุดัน และท่วงท่าเน้นการผจญภัยที่โดดเด่นซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ ตัวถังใหม่มีการออกแบบที่ให้ความรู้สึกเพลินตาเมื่อจ้องมองมากขึ้น ไล่ตั้งแต่จะงอยปากด้านหน้า ผ่านค็อกพิท เข้าสู่แผงด้านข้าง ตลอดจนมีอุปกรณ์เสริมมากกว่า 50 รายการ เช่น ท่อเก็บเสียงใหม่ของ Akrapovic ซึ่งผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกชุดอุปกรณ์เสริมที่สามารถปรับแต่งรถจักรยานยนต์ได้ตามสไตล์ที่ต้องการทั้งหมด 4 แบบ ประกอบด้วย ชุด Performance, Protection, Trekker และ Expedition
ทั้งนี้ Tiger 900 ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมความคุ้มค่าด้วยการรับประกันคุณภาพ Triumph Warranty 2 ปี แบบไม่จำกัดระยะทาง รวมถึงความคุ้มค่าของช่วงเวลาการเข้ารับบริการเช็คระยะที่สูงถึง 10,000 กิโลเมตร หรือ 12 เดือน ตลอดจนฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง (Triumph Roadside Assistance) เป็นระยะเวลา 2 ปี
โดย Tiger 900 GT Pro ราคา 639,000 บาท มีจำหน่ายในโทนสี Snowdonia White เป็นสีมาตรฐาน และตัวเลือกสีระดับพรีเมี่ยมให้เลือก 2 สี ได้แก่ สี Graphite/Sapphire Black และสี Carnival Red/Sapphire Black ขณะที่รุ่น Tiger 900 Rally Pro ราคา 659,000 บาท มีจำหน่ายในโทนสี Carbon Black/Sapphire Black พร้อมตัวเลือกสี Ash Grey/Intense Orange อันโดดเด่น หรือสี Matt Khaki Green/Matt Phantom Black
ปิดท้ายด้วยรุ่น Daytona 660 (เดย์โทน่า660) รถจักรยานยนต์สปอร์ตขนาดกลางที่ถือกำเนิดใหม่อีกครั้ง เพื่อผู้ขับขี่รุ่นใหม่ มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ 3 สูบใหม่ล่าสุด ขนาด 660 ซีซี ให้พละกำลังสูงสุด 95 แรงม้า ที่ 11,250 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 69 นิวตันเมตร ที่ 8,250 รอบต่อนาที พร้อมชุดเกียร์ 6 สปีด เสริมด้วยท่อไอเสียใหม่ ซึ่งมีส่วนหัวแบบ 3 ออก 1 และท่อเก็บเสียงด้านล่างขนาดกะทัดรัด พร้อมส่วนปิดท้ายจากสเตนเลสสตีล เพื่อส่งมอบเสียงสไตล์สปอร์ตอันทรงพลัง
ส่วนอุปกรณ์สเปคระดับสูงอัดแน่น มาพร้อมโช๊คหัวกลับลูกสูบขนาดใหญ่ของ Showa ขนาด 41 มม. และโช๊คหลัง RSU แบบโมโนช็อคของ Showa รองรับการปรับตั้งค่าพรีโหลด, เบรกเรเดียล 4 ลูกสูบ พร้อมดิสก์เบรกคู่ขนาด 310 มม. พร้อมสายเบรกแบบถัก จับคู่กับยาง Michelin Power 6 ใหม่ล่าสุด เป็นมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจในการขับขี่ทั้งบนถนนเปียกและแห้ง ทั้งยังยกระดับประสบการณ์การขับขี่ และความปลอดภัย ด้วยคันเร่งไฟฟ้าที่ให้การตอบสนองของคันเร่งที่คมชัดและแม่นยำ เสริมด้วยโหมดการขับขี่ 3 โหมด ได้แก่ Sport, Road และ Rain ซึ่งปรับการตอบสนองของปีกผีเสื้อ จนถึงการตั้งค่าระบบควบคุมการยึดเกาะถนนให้เหมาะสมกับสภาวะต่าง ๆ
ส่วนแผงหน้าปัดอเนกประสงค์หน้าจอ TFT ได้รับการออกแบบให้ไม่บดบังข้อมูลผู้ขับขี่ โดยผู้ขับขี่สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมผ่านระบบ My Triumph ที่มีทั้งการนำทางแบบ Turn-by-Turn, การเชื่อมต่อการโทรศัพท์ และฟังเพลง โดยฟังก์ชั่นทั้งหมดจะแสดงอย่างชัดเจนบนหน้าจอ TFT และควบคุมผ่านสวิตช์เกียร์ เพื่อความสะดวกในการใช้งานขณะขับขี่
ต่อเนื่องไปที่ DNA ของการออกแบบ และรูปลักษณ์สืบทอดจากต้นฉบับ ได้รับการปรับโฉมใหม่ด้วยมุมมองที่สดใหม่ เพื่อท่วงท่าใหม่ที่ดุดัน และเส้นสายที่สะอาดตามากขึ้น ประกอบด้วย ไฟหน้า LED คู่ ผสานกับช่องรับอากาศส่วนกลาง และตัวถังแบบมินิมอล เน้นรูปลักษณ์ที่ดูสปอร์ต, ไฟท้าย LED แบบโค้งมน ซึ่งทั้งหมดจะมีกราฟิก 660 สุดโดดเด่นที่ได้แรงบันดาลใจจากรถแข่งมองเห็นได้ชัดเจน
นอกจากนี้ Daytona 660 ยังมาพร้อมอุปกรณ์เสริมของแท้กว่า 30 รายการ รวมถึงสามารถเพิ่มระบบ Triumph Shift Assist ได้เพื่อปรับแต่งสมรรถนะ, ความสะดวกสบาย, สไตล์ และการใช้งานจริงให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังมาพร้อมความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ ด้วยการรับประกันคุณภาพ Triumph Warranty 2 ปี แบบไม่จำกัดระยะทาง รวมถึงความคุ้มค่าของช่วงเวลาการเข้ารับบริการเช็คระยะที่สูงถึง 16,000 กิโลเมตร ตลอดจนฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง (Triumph Roadside Assistance) เป็นระยะเวลา2 ปี
ทั้งนี้ Daytona 660 พร้อมให้ทุกคนจับจองเป็นเจ้าของในราคา 327,300 บาท มาพร้อม 3 สีสันให้เลือก ได้แก่ สี Satin Granite/Satin Jet Black, สี Carnival Red/Sapphire Black และสี Snowdonia White/Sapphire Black โดยมาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษเมื่อออกรถ กับชุดแต่งแท้ที่มีให้เลือก 3 แบบ 3 สไตล์ ได้แก่ All-New Daytona 660 Pro+ ออกรถพร้อมติดตั้ง Triumph Shift Assist Kit ในราคาพิเศษเพียง 340,800 บาท, ชุดแต่ง All-New Daytona 660 Touring+ ที่จะได้รับ Sports Tank Bag, Tail Pack, Tank Pad, Triumph Shift Assist Kit, Comfort Seat หรือ Low Seat ในราคาพิเศษเพียง 364,800 บาท และชุดแต่ง All-New Daytona 660 Sport+ ที่จะได้รับ Seat Cowl, Frame Protection, Tank Pad, Engine Cover Protection, Triumph Shift Assist, Scrolling LEDIndicators (Front & Rear) ทั้งหมดนี้ในราคาพิเศษเพียง 364,800 บาท