ออโตโมบิลี ลัมโบร์กินี (Automobili Lamborghini) ปิดตำนานบทใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์ของแบรนด์ เผยโฉม Urus SE ยนตรกรรม Super SUV ปลั๊กอิน ไฮบริด รุ่นแรกของแบรนด์ ในงานครั้งสำคัญ Volkswagen Group Media Night ซึ่งจัดขึ้นก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน Auto China Beijing 2024
โดย Urus SE นำเสนองานดีไซน์แนวใหม่ ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์เทคโนโลยีช่วยการขับขี่ที่เหนือชั้น และระบบส่งกำลังระดับ 800CV ที่ไร้คู่แข่ง เพื่อนำเสนอความเป็น PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) รุ่นท็อปในตระกูล Urus ทั้งในด้านความสะดวกสบาย, ประสิทธิภาพการปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศ และประสบการณ์ที่สนุกสนานในการขับขี่ผสานหัวใจสำคัญทั้ง 2 ด้าน ทั้งจาก ระบบการเผาไหม้ และระบบไฟฟ้า เพื่อให้ได้แรงบิด และกำลังเครื่องสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ Urus SE เป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่นที่สุดในรถยนต์คลาสเดียวกัน โดยสามารถลดการปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศได้มากถึง 80%
“รถยนต์ตระกูล Urus ได้เปลี่ยนกรอบแนวคิดของวงการ SUV ไปอย่างสิ้นเชิง และได้สร้างเซ็กเมนต์ใหม่สู่โลกยานยนต์” มร. สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารลัมโบร์กินี กล่าว “ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี Urus ได้กลายเป็นรถรุ่นที่ขายดีที่สุดของแบรนด์ ช่วยให้แบรนด์สามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ และเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจได้ ในกลุ่มตลาดที่มีความสำคัญ และด้วยการเปิดตัว Urus SE ก็ทำให้เราก้าวหน้าสู่อนาคตไปอีกขั้น ซึ่งสอดคล้องตามแผนกลยุทธ์ Direzione Cor Tauri 2.0 เพื่อเดินหน้าสู่ยุคแห่งพลังงานไฟฟ้า และแนวทางเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งเริ่มดำเนินงาน พร้อมกับการเปิดตัวซูเปอร์สปอร์ตคาร์ Revuelto เมื่อเดือนมีนาคม2023 ที่ผ่านมา”
Urus SE มอบประสบการณ์การขับขี่อันไร้คู่แข่ง ด้วยเครื่องยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพ และพลศาสตร์ของยานยนต์ให้โลดแล่นได้อย่างเต็มกำลังบนทุกเส้นทาง และการขับขี่ทุกรูปแบบ มอบทั้งแรงบิด และกำลังเครื่องสูงสุดในทุกรอบเครื่องยนต์ ด้วยโซลูชั่นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอาทิ การใช้ระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้า ระหว่างเพลา และระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า
“ภารกิจของโครงการนี้ แน่นอนว่าคือการนำเสนอประสิทธิภาพการขับขี่เหนือระดับ ที่ผสานกับลักษณะเด่นในดีเอ็นเอของแบรนด์ลัมโบร์กินี” มร.รูเว็นโมห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคลัมโบร์กินี่ กล่าว “Urus SE ถูกกำหนดให้เป็นรุ่นท็อปของคลาส ทั้งในด้านความเพลิดเพลินของการเดินทาง และพลศาสตร์การขับขี่ โดยเป็นรถยนต์ที่ผสานคุณสมบัติที่แตกต่างกันไว้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบายที่สมบูรณ์แบบ และในขณะเดียวกันก็มอบสมรรถนะที่เหนือระดับ และการขับขี่ที่สนุกสนานมากที่สุด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไม่มีรถยนต์รุ่นใดจะทำได้เทียบเท่า”
เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 4.0 ได้ถูกนำมาพัฒนาใหม่ เพื่อให้สามารถทำงานกับระบบส่งกำลังไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีกำลังเครื่องถึง 620 CV (456kW) และแรงบิด 800 Nm โดยระบบสันดาปได้ถูกผสานเข้ากับระบบส่งกำลังไฟฟ้า เพื่อมอบกำลังเครื่อง 192 CV (141kW) และแรงบิด 483 Nm และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทีมวิศวกรจึงให้ความสำคัญกับการปรับจูนการทำงานที่สอดคล้องกัน ระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) กับมอเตอร์ไฟฟ้า จนได้กำลังเครื่องสูงสุดที่ 800 CV พร้อมการันตีกำลังเครื่องเฉลี่ยดีที่สุดในทุกๆ โหมดการขับขี่ และสภาพพื้นผิวถนนพร้อมติดตั้งแบตเตอรีลิเทียม 25.7kWh บริเวณใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระด้านบนระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า
มอเตอร์ซิงโครนัสชนิดแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet Synchronous Motor)ซึ่งติดตั้งอยู่ในระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สามารถช่วยบูสต์เครื่องยนต์สันดาป V8 และยังเป็นตัวสร้างแรงฉุดได้อีกด้วย ทำให้ Urus SE เป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยระบบไฟฟ้า 100% ที่สามารถเดินทางได้ไกลกว่า 60 กม. เมื่อขับขี่ด้วยโหมดไฟฟ้า (EV Mode) เพียงอย่างเดียว
อีกทั้งเทคโนโลยีใหม่ ที่ถูกนำมาใช้ใน Urus SE เป็นครั้งแรก คือ ระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าตามแนวยาว รูปแบบใหม่ที่ติดตั้งไว้บริเวณกลางตัวรถ พร้อมคลัทช์ อิเลกโตร ไฮดรอลิก แบบมัลติเพลต ซึ่งช่วยสร้างแรงบิดแปรผันอระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังได้อย่างต่อเนื่อง ทำหน้าที่ประสานการทำงานให้สอดรับกับเฟืองท้ายไฟฟ้าบนเพลาหลังอย่างราบรื่น และจะคอยกระจายแรงบิดเมื่อทำการเบรก ทำให้รถยนต์สามารถควบคุมอาการ Oversteer ได้แบบ “On Demand” เพื่อมอบสัมผัสอันเร้าใจ เสมือนขับขี่รถยนต์สายพันธุ์สปอร์ตตัวจริง
โดยทั้ง 2 ระบบที่กล่าวมา ได้รับการออกแบบ และปรับจูนการทำงานให้เหมาะสม กับการยึดเกาะถนนทุกรูปแบบ และทุกสไตล์การขับขี่ เพื่อมอบแรงฉุด และการตอบสนองที่ฉับไวสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งทะยานในสนามแข่ง หรือ วิ่งตะลุยไปบนเนินทรายพื้นน้ำแข็งหรือทางดิน
Urus SE เป็นรถยนต์ที่โดดเด่นที่สุดในคลาสเดียวกัน ด้วยแรงบิด และกำลังเครื่องยนต์ ที่เหนือล้ำ โดยมอบกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 800CV (588kW) ที่ 6,000 รอบต่อนาที และสามารถให้แรงบิดรวมถึง 950 Nm ที่ 1,750 ถึง 5,750 รอบต่อนาที มอบประสิทธิภาพสูงสุดในคลาส ในทุกแง่มุมของการขับขี่ ผลลัพธ์อันน่าประทับใจนี้มาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักเครื่อง (Weight-to-Power Ratio) ที่3.13 kg/CV (เปรียบเทียบกับ 3.3 ในรุ่น Urus S)
โดย Urus SE สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.4 วินาที (Urus S ที่ 3.5 วินาที) และจาก 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 11.4 วินาที (Urus S ที่ 12.5 วินาที) สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 312 กม./ชม. (Urus S ที่ 305 กม./ชม.) ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ทำให้ Urus SE เป็นรถยนต์ที่ทรงพลังสูงสุดของตระกูล Urus และสร้างมาตรฐานใหม่ในกลุ่มรถยนต์ซูเปอร์เอสยูวี
Urus SE คือ มากับงานออกแบบอันโฉบเฉี่ยว ที่เปลี่ยนแนวคิดงานดีไซน์อย่างสิ้นเชิง พร้อมนำเสนอเส้นสายใหม่ที่สื่อถึงการอัพเกรดประสิทธิภาพระบบอากาศพลศาสตร์ได้อย่างชัดเจน ผ่านรูปทรงแบบพลศาสตร์ที่เน้นภาพลักษณ์ความเป็นรถสปอร์ต และความแข็งแกร่งบึกบึน ด้านหน้าหรูหราด้วยการออกแบบฝากระโปรงทรงใหม่แบบ Floating Design จากการลบเส้นสายที่เป็นตัวแบ่งส่วนต่างๆ ทิ้งไป
เพื่อเสริมความรู้สึกลื่นไหลต่อเนื่อง และเน้นย้ำถึงรูปทรงแบบนักกีฬา ชวนให้นึกถึงแนวคิดการออกแบบแนวใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรุ่น Revuelto นอกจากนี้ยังเสริมด้วยองค์ประกอบใหม่ๆ อีกมากมาย ทั้งชุดไฟหน้าที่ใช้เทคโนโลยี Matrix LED ซึ่งเป็นดีไซน์ซิกเนเจอร์ใหม่ล่าสุด ที่มีแรงบันดาลใจมาจากหางวัวกระทิง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ ตลอดจนการออกแบบส่วนกันชนท้าย และตะแกรงหน้าใหม่ในทุกรายละเอียด
“การออกแบบ และสัดส่วนของ Urus ยังคงสวยงามอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้ และยังสะท้อนถึงความเป็นลัมโบร์กินีอย่างไร้ที่ติ” มร. มิตจา โบร์เคิร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายการออกแบบลัมโบร์กินี กล่าว “ในขณะเดียวกัน Urus SE แสดงถึงวิวัฒนาการอันเปี่ยมเสน่ห์อย่างยิ่ง ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาการออกแบบระดับไอคอนิกที่ยอดเยี่ยมของเรา และที่สำคัญคือการมอบสัมผัสอันหรูหรายิ่งกว่าเดิม ด้วยโปรแกรมการตกแต่งแบบ Ad Personam
โดยเรานำแรงบันดาลใจมาจากรุ่น Revuelto พร้อมฝากระโปรงรถแบบ Floating เพื่อมอบเส้นสายที่สะอาดตา และรูปทรงส่วนหน้าที่แข็งแกร่งบึกบึน โดยระบบไฟหน้าที่ล้ำสมัยได้ผสานดีไซน์ซิกเนเจอร์แบบ DRL ไว้อย่างลงตัว ขณะที่การออกแบบส่วนท้ายให้ความสำคัญกับช่วงกว้าง ตกแต่งด้วยดิฟฟิวเซอร์แบบใหม่ และปรับช่องติดป้ายทะเบียนรถให้มีระดับต่ำลง ด้านดีไซน์ตะแกรงหลัง นำแรงบันดาลใจมาจาก Gallardo พร้อมการออกแบบห้องโดยสารภายใน ที่ยังคงสืบทอดปรัชญา Feellike a Pilot เพื่อยกระดับปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักขับ และระบบดิจิทัลภายใน”
สำหรับการออกแบบส่วนท้าย มีการจัดสรรพื้นที่เก็บสัมภาระใหม่ทั้งหมดโดยนำรูปทรงที่ต่อเนื่องมาจากรุ่นGallardoโดยผสานเส้นสายต่าง ๆ ได้อย่างกลมกลืนเชื่อมต่อชุดไฟท้ายด้วยดวงไฟรูปตัว“Y” และดิฟฟิวเซอร์หลังรูปแบบใหม่ซึ่งทำให้รถยนต์มีสัดส่วนคล้ายสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ส่วนสปอยเลอร์ใหม่ยังทำงานร่วมกับดิฟฟิวเซอร์หลังในการช่วยเพิ่มแรงกดด้านหลังขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นUrus Sจึงเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่มากยิ่งขึ้น
ประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ได้ถูกยกระดับขึ้นด้วยการออกแบบท่อระบายลมที่ส่วนล่างตัวรถและท่อลมเข้าแบบปรับปรุงใหม่ พร้อมออกแบบช่องทางลมให้ต่อเนื่องมากขึ้นเพื่อลดความร้อนของชิ้นส่วนและเครื่องยนต์ได้ดีกว่าเดิมซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่นUrusเดิมถึง15% การออกแบบส่วนหน้ายังผสานกับการเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ด้านล่างเพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศและระบายความร้อนให้กับระบบเบรก ซึ่งมีประสิทธิภาพการระบายความร้อนด้วยอากาศสูงขึ้นถึง30% เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเก่า
Urus SE นำเสนอออพชั่นการตกแต่งที่เหนือชั้นที่สุดในรถยนต์คลาสเดียวกัน โดยมีทั้งล้ออัลลอยด์รุ่นอัพเดตใหม่ พร้อมดีไซน์ Galanthus ขนาด 23 นิ้วเ ป็นรุ่นมาตรฐานพร้อมยาง Pirelli P Zero รุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังมีโทนสีตัวรถให้เลือกมากมายแ ละออพชันการตกแต่งอีกมากกว่า 100 องค์ประกอบ พร้อมนำเสนอ 2 โทนสีใหม่ในวันเปิดตัว ทั้งโทนสี Arancio Egon (สีส้ม) จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Arancio Apodis (สีส้ม) และโทนสี Bianco Sapphirus (สีขาว) จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Terra Kedros (สีน้ำตาลแดง) ออพชันการตกแต่งภายในมอบทางเลือก “คู่สี” อีกกว่า 47 แบบ และการเย็บตะเข็บตกแต่งถึง 4 สไตล์ (Q-Citura Stitching) พร้อมออพชั่นในโปรแกรมการตกแต่ง Ad Personam ที่ช่วยให้เจ้าของ Urus SE สร้างสรรค์รถยนต์ให้มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครเพียงหนึ่งเดียวในโลก