เกีย คอร์ปอเรชั่น ประกาศตั้งบริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจของ เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) ในปี 2567 ภายใต้วิสัยทัศน์ที่จะพลิกโฉมแบรนด์ และสร้างการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว ผ่านกลยุทธ์ระดับองค์กรของ เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) ในชื่อ PlanS-5 เพื่อมุ่งหน้าสู่เป้าหมายปี 2567-2571
นายจุน โอ อี ประธาน บริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า “วันนี้นับเป็นโอกาสอันดี สำหรับก้าวแรกแห่งการดำเนินงานของ เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) ในการเข้าสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และแผนกลยุทธ์ Kia Plan S ของเราที่ใช้ในการดำเนินงานทั่วโลก มีรากฐานอยู่บนเสาหลัก 3 ประการ คือ
โลก (Planet), ผู้คน (People) และผลกำไร (Profit) เพื่อหล่อเลี้ยงความไว้วางใจ และการมีส่วนร่วมระหว่างพนักงานของเรากับชุมชน เพราะฉะนั้นเราจึงวางตำแหน่งของตนเองในฐานะ Sustainable Mobility Solutions Provider หรือ “แบรนด์ที่มุ่งตอบโจทย์การเดินทางอย่างยั่งยืน” ซึ่งถือเป็นปรัชญาประจำองค์กรของเรา เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต
โดยในส่วนของ เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) เราได้วางแผนการดำเนินงานขององค์กรไว้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจของเราสำหรับปี 2567-2571 ซึ่งให้ชื่อว่ากลยุทธ์ Plan S-5 ประกอบด้วยเป้าหมายหลัก 4 ประการ ได้แก่ 1) ครองส่วนแบ่ง 5% ของตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคล, 2) เพิ่มการทำตลาดรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ให้มีสัดส่วนคิดเป็น 50% ของยอดจำหน่ายทั้งหมด, 3) ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบแบรนด์ที่มีการรับรู้สูงที่สุด 5 อันดับแรก และ 4) ขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายทั่วประเทศให้เติบโตขึ้น 5 เท่าตัว”
นายณัฏฐ์ชัย สุรวรรธนกุล รองประธานฝ่ายขาย เครือข่ายผู้จำหน่าย และบริการหลังการขาย เปิดเผยว่า “ตลาดรถยนต์ในประเทศไทย อยู่ในเทรนด์ขาขึ้น และขาลง สลับสับเปลี่ยนกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่โดยรวมทั้งตลาดอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 800,000 คัน เนื่องจากเซ็กเมนต์รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ
แม้ว่าเซ็กเมนต์รถยนต์นั่งส่วนบุคคลจะมีการเติบโตก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า เพราะอย่างไรก็ตาม เรามองว่าตลาดรถยนต์ในไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้นในปี 2567 นี้ โดยคาดว่ายอดจำหน่ายจะขยับตัวขึ้นเป็น 850,000 – 860,000 คัน จากอานิสงส์ของรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่มียอดจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับ เกีย เซลส์ (ประเทศไทย)ในปี 2566 เรามีผู้จำหน่าย และศูนย์บริการที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ 19 แห่ง โดยเราจะเร่งสร้างการเติบโตของยอดขาย ด้วยการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ประเดิมด้วยผู้จำหน่ายใหม่ 10 ราย ที่จะเข้ามาร่วมงานกับเราในปี 2567 นี้
นอกจากนี้เรายังยกระดับกลยุทธ์ด้านบริการของเราอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับความคาดหวังของผู้บริโภคชาวไทย โดยนโยบายใหม่ของเราจะมอบการรับประกันคุณภาพรถเป็นระยะเวลา 7 ปี ให้กับรถยนต์รุ่นใหม่ที่ทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 เป็นต้นไป พร้อมด้วยการรับประกันตามมาตรฐานใหม่ของเรา ที่จะมาควบคู่กับการรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนถึง 7 ปี”
นายฌ็อง – ดาวิด คริสติญอง อาเรล รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ และการตลาดระบุว่า “รถยนต์รุ่น Carnival ของเราที่ใช้งานอยู่บนท้องถนนในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 10,000 คัน ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความไว้วางใจในตัวรถยนต์ Carnival และผู้จำหน่ายของเราอย่างมาก และฐานลูกค้าในปัจจุบันของเราจะเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งในการสร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ของเราได้เป็นอย่างดี โดยเราจะขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มผู้บริโภคที่เป็นครอบครัวคนรุ่นใหม่ ทั้งยังมีการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ของเราให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ดังกล่าว
“เกีย” เป็นแบรนด์ระดับโลกที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูง มิใช่เฉพาะในด้านคุณภาพ และสมรรถนะของรถยนต์รุ่นต่างๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมอบคุณค่าที่เรายึดมั่น ด้วยปรัชญาของแบรนด์ที่ว่า Movement that inspires หรือ “การเดินทางที่สร้างแรงบันดาลใจ” สะท้อนถึงทัศนคติใหม่ของเราในการเชื่อมโยงกับชีวิตจิตใจของผู้บริโภคชาวไทย เราต้องการนำเสนอพลังที่แบรนด์ของเรามีอยู่ในระดับโลก รวมถึงมรดกในแบบเกาหลีของเรา ซึ่งเป็นที่ชื่นชมอย่างกว้างขวางในประเทศไทยสู่สายตาของผู้บริโภคชาวไทย”
“เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว เราจึงออกแบบการสื่อสารของเราในประเทศไทย โดยวางตำแหน่งแบรนด์ให้มีภาพลักษณ์ของรถยนต์ Premium Smart โดยคำว่า Premium จะสื่อถึงการมุ่งส่งมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ดีเยี่ยม ตั้งแต่ทัชพอยท์แรกทางอินเทอร์เน็ต ไปจนถึงทุกๆ ช่องทางที่ลูกค้าจะได้สัมผัสกับแบรนด์ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องรวมถึงศูนย์บริการ และผู้จำหน่ายของเราด้วย และเราจะมุ่งเน้นใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินงาน (Digital Transformation) และใช้ข้อมูลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการสร้างปฏิสัมพันธ์แบบเฉพาะบุคคลกับลูกค้า
ส่วนคำว่า Smart จะสื่อถึงการที่เรามุ่งหวังให้ลูกค้าชาวไทยได้รับประสบการณ์ใหม่ล่าสุดในการขับขี่ โดยการนำเสนอรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบที่ประสบความสำเร็จรุ่นใหม่ล่าสุดของเรา พร้อมกับเพิ่มรถยนต์ในกลุ่มเอสยูวี (SUV) และเอ็มพีวี (MPV) เพื่อนำเอาโซลูชั่นด้านการเชื่อมต่อรูปแบบต่างๆ มาใช้ในอนาคตอันใกล้นี้”