JAECOO ท้าพิสูจน์สมรรถนะ ลงสนามโหด โชว์ฟังก์ชั่นออฟโรดครบครัน ด้วยแนวคิด From Classic, Beyond Classic

OMODA & JAECOO ต้อนรับผู้ขับขี่กลุ่มแรกจากทั่วโลก เปิดสนามทดลองขับรถยนต์ซีรี่ส์ใหม่อย่าง JAECOO 6, JAECOO 7, JAECOO 7 PHEV, JAECOO 8 และ JAECOO 8 PHEV พร้อมกับ Crossover SUV รุ่นขายดีอย่าง OMODA C5 EV ณ เมืองอู๋หู ประเทศจีน

โดยมีเหล่าตัวแทนดีลเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ และสื่อจากทั่วมุมโลก มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ และเทคโนโลยีขุมพลังงานใหม่อย่างคับคั่งกว่า 3,000 คน ในการขับขี่ยนตรกรรมออฟโรดพรีเมี่ยมของ JAECOO และเทคโนโลยีอีกระดับของ SUV ไฟฟ้า 100% กับ OMODA C5 EV ที่ไม่เพียงมัดใจบรรดาผู้ทดลองด้วยสมรรถภาพเต็มขั้น แต่ยังมีดีไซน์ที่แข็งแรงล้ำสมัย พร้อมทัวร์ฐานผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในเมืองอู๋หู อีกด้วย

ยนตรกรรมออฟโรดพรีเมี่ยม JAECOO 7 ได้ถูกทดสอบสมรรถนะในสนามแข่งรถออฟโรดมาตรฐานสุดโหดอย่าง Fangte และ Tuju โดยสนามทดสอบ Fangte นั้น JAECOO 7 ได้ผ่านการทดสอบอัตราเร่งเครื่องยนต์ในแนวตรง (Straight-line Acceleration), การขับแบบสลาลอม (Slalom), การยูเทิร์น (U-turns) และการขับแบบสลาลอมเป็นเลข 8 (Figure-eight Slaloms) ที่สะท้อนประสิทธิภาพของระบบการควบคุมพวงมาลัย และสเถียรภาพการทรงตัวของรถยนต์

นอกจากนี้ JAECOO 7 ยังผ่านการทดสอบในสนาม Tuju โดยมีสถานีการทดสอบการขับขี่บนทางโค้งหลากหลายประเภทเช่น ทางโค้งบนไฮเวย์, ทางโค้งรัศมีน้อย, ทางโค้งสลับตัวเอส (S-Bends) และทางโค้งผสมที่มีรัศมีต่างกัน ซึ่งสะท้อนตั้งแต่ความสามารถในการขับขี่บนพื้นถนนทุกรูปแบบ ไปจนถึงระบบการขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) ตลอดจนระบบโช้คอัพที่มีประสิทธิภาพสูง และช่วงล่างที่ช่วยยืดเกาะบนถนนอย่างปลอดภัย

ไม่เพียงประสิทธิภาพที่ถูกโชว์ผ่านสนามจำลองสุดโหดเท่านั้น แต่ JAECOO 7 ยังมาพร้อมกับระบบ ARDIS (All Roads Drive Intelligent System) เทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ 7 โหมด โดยสามารถปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ของผู้ขับขี่ และปัญหาที่ผู้ขับขี่พบเจอได้อย่างชาญฉลาด รวมถึงสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที พร้อมด้วยระบบเบรกไฟฟ้าอัจฉริยะ Bosch Integrated Power Brake ที่มีความเร็วตอบสนองที่ใช้เวลาน้อยกว่า 0.1 วินาที ด้วยการกระจายแรงบิดไปยังทั้ง 4 ล้อ ทำให้ขับขี่ได้สบาย ด้วยระยะเบรกที่สั้น และระบบ LSD ที่รองรับการเลี้ยวโค้ง และแก้ปัญหารถติดหล่ม เหมาะกับการขับขี่โลดโผน ทั้งยังสามารถขับขี่ในพื้นผิวต่างระดับที่สูงถึง 200 มิลลิเมตร มีมุมเงย (Approach angles) 21 องศา, มุมจาก (Departure angles) 29 องศา และลุยน้ำได้ถึง 600 มิลลิเมตร

ด้าน JAECOO 8 มากับระบบควบคุมการขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อ (FWD) แบบเวกเตอร์พิเศษ ที่สามารถปรับการกระจายแรงบิดล้อหลังได้แบบไดนามิก จาก 0% ถึง 100% ขึ้นอยู่กับสภาพของถนน โดยสามารถสร้างแรงบิดได้ถึง 1,800 นิวตันเมตร ทำให้การกู้คืนล้อเดี่ยวได้ง่ายขึ้น อีกทั้งการปรับแรงบิดแบบเรียลไทม์ของล้อหลัง ที่ไม่เพียงเพิ่มความเสถียรในการโค้งที่มีความเร็วสูง แต่ยังลดรัศมีวงหมุนได้ และระบบ CDC ที่ช่วยตรวจจับการขับเคลื่อนที่ ปรับเปลี่ยนการตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเพียงเสี้ยววินาที เพื่อทำให้ประสบการณ์การขับขี่ราบรื่น และสะดวกสบาย แม้จะโลดโผดในสถานการณ์ที่หลากหลายพื้นผิวก็ตาม

เทคโนโลยี PHEV เจนเนอเรชั่นที่ 3 เป็นนวัตกรรมใหม่ที่พัฒนาก้าวไปอีกขั้นของ OMODA & JAECOO ทำให้เหล่าผู้ทดลองขับขี่ JAECOO 7 PHEV และ JAECOO 8 PHEV ต่างเห็นพร้อม และประทับใจในด้านการขับขี่ที่ประหยัดน้ำมัน ทั้งยังได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการขับขี่เฉพาะไฟฟ้า ที่มีระยะการขับขี่สูงสุดถึง 88 กิโลเมตร ตลอดจนประหยัดเชื้อเพลิงเพียง 4.9 ลิตร/100 กิโลเมตร ในโหมด HEV ที่รวมแล้วมีระยะทางรวมมากกว่า 1,200 กิโลเมตร

ในขณะที่ JAECOO 8 PHEV ที่มากด้วยกำลังสูงสุดถึง 445 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 915 นิวตันเมตร ทำให้สามารถเร่งความเร็ว 0-100 กม./ชม. ในระยะเวลา 5.4 วินาที พร้อมทั้งได้ฟันฝ่าอุปสรรคสุดหินในด้านทดสอบที่สนาม Tuju ซึ่งมาครบทุกรูปแบบ เช่น พื้นถนนโคลนแน่น หรือพื้นถนนลื่นไถล แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการขับขี่บนสภาวะออฟโรดที่แข็งแกร่ง

ระยะเวลากว่า 18 ปี ในการวิจัย และพัฒนานวัตกรรมของบริษัทแม่อย่าง Chery Automobile ทำให้ OMODA & JAECOO เกิดการพัฒนาต่อยอดไปอีกขั้น สู่เทคโนโลยี PHEV เจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งนับว่าเป็นการพัฒนาที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีออฟโรด ในรูปแบบพลังใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เทคโนโลยี PHEV เจนเนอเรชั่นที่ 3 นี้ ประกอบด้วย เครื่องยนต์พิเศษ สำหรับไฮบริด (Hybrid-specific Engines), ระบบส่งกำลังพิเศษ สำหรับไฮบริด (Hybrid-specific Transmissions) และระบบการจัดการแบตเตอรี่พิเศษ สำหรับไฮบริด (Hybrid-specific Battery Management Systems)

โดยในส่วนเครื่องยนต์พิเศษ สำหรับไฮบริด ได้พัฒนาไปสู่นวัตกรรมอีกขั้นใน 6 จุดหลักสำคัญ เช่น จังหวะเผาไหม้, การเพิ่มแรงบิด และระบบการระบายความร้อนที่ขึ้นแท่นผู้นำด้านประสิทธิภาพการระบายความร้อนในด้านการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า มาพร้อมระบบสปีดไฮบริด 3 ระดับ (Three-speed Super Hybrid Solution) อันทรงพลัง รองรับการเปลี่ยนเกียร์ พร้อมบาลานซ์การใช้เชื้อเพลิงในโหมดความเร็วต่ำ และโหมดความเร็วกลางได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีความปลอดภัยอันแข็งแกร่งครบวงจรหลากหลายรูปแบบที่สร้างความอุ่นใจให้ผู้ขับขี่ เช่น ระบบกันน้ำ, ฉนวนกันความร้อน และระบบป้องกันอัคคีภัย เป็นต้น

ในขณะเดียวกันรุ่นยอดนิยมอย่าง OMODA C5 EV ก็ได้รับเสียงชื่นชมถึงประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมจากการทดสอบบนสนาม Fantawild ด้วยความจุแบตเตอรี่ที่สูงถึง 61 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถวิ่งได้ไกลสุด 430 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในระยะเวลา 7.8 วินาที ใช้ระยะเวลาในการชาร์จกระแสตรง DC จาก 30% เป็น 80% ในเวลาเพียง 28 นาที แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในฐานะรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่โดดเด่นด้วยความจุของแบตเตอรี่ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ

ดีไซน์ล้ำสมัยสะท้อนตัวตนผู้ขับขี่รุ่นใหม่ที่มีสไตล์ไม่ซ้ำใคร พร้อมด้วยออปชั่นความปลอดภัยครบครัน จากฟังก์ชั่นช่วยเหลือการขับขี่ และตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ ตอบสนองการใช้งานในการเดินทางประจำวัน รวมถึงการเดินทางระยะไกลที่มอบประสบการณ์ในการขับขี่ปลอดภัยล้ำสมัย และสะดวกสบาย

หลังจากการได้ทดลองขับรถยนต์ของแบรนด์ OMODA & JAECOO เหล่าผู้ขับขี่ต่างยกให้รถยนต์ JAECOO เป็นรถ SUV ออฟโรด ที่ผสมผสานระหว่างความสามารถเต็มขั้น ทั้งความสะดวกสบาย และเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการขับขี่แบบออฟโรดโ ดยเฉพาะทางด้านของ OMODA C5 EV ที่ต่างก็ได้รับคำชื่นชมว่าเป็นรถที่เป็นมิตรต่อผู้ขับขี่ ด้วยฟังก์ชั่นการปรับเปลี่ยนโหมดที่ซัพพอร์ท ทำให้การขับขี่ราบรื่น และสนุกมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ผู้ร่วมทดสอบยังได้เข้าเยี่ยมชมฐานการผลิตในเมืองอู๋หูประเทศจีน ทำให้เห็นได้ชัดถึงกระบวนการผลิตขั้นสูง และระบบการจัดการที่มีคุณภาพ และยั่งยืน เพื่อช่วยเน้นย้ำถึงคุณภาพ และความคงทนของรถยนต์ ซึ่งผู้ขับขี่จะได้รับจากแบรนด์ OMODA & JAECOO พร้อมทั้งได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม “GREEN OJ” ในงานปักกิ่งมอเตอร์โชว์ ที่จะเป็นแพลตฟอร์มเน้นย้ำความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนที่ OMODA & JAECOO จะสร้างเพื่อสังคม

OMODA & JAECOO ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีการขับขี่พลังงานใหม่ ไปพร้อมกับการยึดมั่นความต้องการของผู้ขับขี่ และสร้างความใกล้ชิดกับตัวแทนสื่อ และพาร์ทเนอร์ เพื่อให้เข้าใจความต้องการของตลาด และผู้ขับขี่ได้อย่างลึกซึ้ง นำไปต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรม และการให้บริการที่ตอบสนองความต้องการผู้ขับขี่ให้ได้มากที่สุด โดย OMODA & JAECOO มุ่งหวังในการเป็นผู้นำระดับโลกด้านการขับขี่ ด้วยพลังงานใหม่ และสร้างอนาคตของการเดินทางที่สะอาดยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อไป