เรนาสโซ มอเตอร์ เผยโฉม Lamborghini Urus SE ยนตรกรรม Super SUV แบบ Plug-in Hybrid รุ่นแรกของแบรนด์

บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ลัมโบร์กินี อย่างเป็นทางการ รายเดียวในประเทศไทย จัดงานเปิดตัว Lamborghini Urus SE ยนตรกรรม Super SUV แบบ Plug-in Hybrid รุ่นแรกของแบรนด์ ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติ และบุคคลสำคัญแถวหน้าของเมืองไทยที่มาร่วมงานมากกว่า 300 ท่าน ณ The Summer House บ้านปาร์คนายเลิศ

โดย Urus SE นำเสนอดีไซน์รถยนต์แนวใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ เทคโนโลยีช่วยการขับขี่ที่เหนือชั้น, ระบบส่งกำลัง และเรี่ยวแรงกว่า 800CV ซึ่งไร้คู่แข่งในแบบฉบับยนตรกรรม PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ในฐานะรุ่นท็อปสุดแห่งตระกูล Urus ทั้งในด้านประสิทธิภาพการปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศ และประสบการณ์ที่สนุกสนานในการขับขี่ ผสานหัวใจสำคัญทั้ง 2 ด้านของแบรนด์ คือ ระบบการเผาไหม้ และระบบไฟฟ้า เพื่อให้ได้แรงบิด และกำลังสูงสุด อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ Urus SE เป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่นที่สุดในรถยนต์คลาสเดียวกัน โดยสามารถลดการปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศได้มากถึง 80%

มร.ฟรานเชสโก้ สกาดาโอนิ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี กล่าวว่า “ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอ Urus SE ให้แก่แฟนๆ ในประเทศไทย เพราะ Urus SE ได้นำเราเข้าสู่ยุคใหม่แห่งวิวัฒนาการยนตรกรรม Super SUV ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน สู่ระบบไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของลัมโบร์กินี ซึ่งผมเชื่อมั่นว่ารถยนต์รุ่นนี้จะสร้างนิยามใหม่ให้แบรนด์ของเรา ได้ก้าวไปอีกขั้น ตลอดจนร่วมปฏิวัติโลกยานยนต์ ด้วย Super SUV อันเป็นเอกลักษณ์ของเรา”

นาย อภิชาต ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการ บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด ในฐานะตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ลัมโบร์กินี อย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทยกล่าวว่า “หลังจาก ลัมโบร์กินี ได้เผยโฉม Urus SE พร้อมกันทั่วโลกในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ในวันนี้ นับเป็นโอกาสอันดี ที่สาวกกระทิงดุในเมืองไทย จะได้ยลโฉม Urus SE คันจริงเป็นครั้งแรกอย่างใกล้ชิด ซึ่งเรามั่นใจว่า ยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ จะตอบโจทย์ทุกประสบการณ์การขับขี่ และได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนๆ ลัมโบร์กินี ทั่วประเทศอย่างแน่นอน”

Urus SE มอบประสบการณ์การขับขี่อันไร้คู่แข่ง ด้วยเครื่องยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพ และพลศาสตร์ของยานยนต์ให้โลดแล่นได้อย่างเต็มกำลังบนทุกเส้นทาง และการขับขี่ทุกรูปแบบ มอบทั้งแรงบิด และกำลังเครื่องสูงสุดในทุกรอบเครื่องยนต์ ด้วยโซลูชั่นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด อาทิ การใช้ระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้า ระหว่างเพลาทั้งสอง และระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า

“ภารกิจของโครงการนี้ แน่นอนว่าคือการนำเสนอประสิทธิภาพการขับขี่เหนือระดับ ที่ผสานกับลักษณะเด่นในดีเอ็นเอของแบรนด์ ลัมโบร์กินี” มร.รูเว็นโมห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค ลัมโบร์กินี กล่าว “Urus SE ถูกกำหนดให้เป็นรุ่นท็อปของคลาส ทั้งในด้านความเพลิดเพลินของการเดินทาง และพลศาสตร์การขับขี่ โดยเป็นรถยนต์ที่ผสานคุณสมบัติที่แตกต่างกันอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบายที่สมบูรณ์แบบ และในขณะเดียวกัน ก็มอบสมรรถนะที่เหนือระดับ และการขับขี่ที่สนุกสนานมากที่สุด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไม่มีรถยนต์รุ่นใดจะทำได้เทียบเท่า”

เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 4.0 ลิตร ได้ถูกนำมาพัฒนาใหม่ เพื่อให้สามารถทำงานกับระบบส่งกำลังไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีกำลังถึง 620 CV (456kW) และแรงบิด 800 Nm โดยระบบสันดาปได้ถูกผสานเข้ากับระบบส่งกำลังไฟฟ้า เพื่อมอบกำลัง 192 CV (141kW) และแรงบิด 483 Nm และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทีมวิศวกรจึงให้ความสำคัญกับการปรับจูนการทำงานที่สอดคล้องกัน ระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) กับมอเตอร์ไฟฟ้าจนได้กำลังเครื่องสูงสุดที่ 800 CV พร้อมการันตีกำลังเครื่องยนต์เฉลี่ยดีที่สุดในทุกๆ โหมดการขับขี่ และสภาพพื้นผิวถนนพร้อมติดตั้งแบตเตอรีลิเทียมขนาด 25.9 kWh บริเวณใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระ ด้านบนระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า

มอเตอร์ซิงโครนัส ชนิดแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet Synchronous Motor) ซึ่งติดตั้งอยู่ในระบบเกียร์อัตโนมัติ8 สปีด สามารถช่วยบูสต์เครื่องยนต์สันดาป V8 และยังเป็นตัวสร้างแรงฉุดได้อีกด้วย ทำให้ Urus SE เป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยระบบไฟฟ้า100% ที่สามารถเดินทางได้ไกลกว่า 60 กม.เมื่อขับขี่ด้วยโหมดไฟฟ้า (EV Mode) เพียงอย่างเดียว

เทคโนโลยีใหม่ที่ถูกนำมาใช้ใน Urus SE เป็นครั้งแรก คือ ระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าตามแนวยาวรูปแบบใหม่ ที่ติดตั้งไว้บริเวณกลางตัวรถ พร้อมคลัตช์อิเลกโตร ไฮดรอลิก แบบมัลติเพลต ซึ่งช่วยสร้างแรงบิดแปรผันระหว่างเพลาหน้า และเพลาหลังได้อย่างต่อเนื่อง ทำหน้าที่ประสานการทำงานให้สอดรับกับเฟืองท้ายไฟฟ้าบนเพลาหลังอย่างราบรื่น และคอยกระจายแรงบิด เมื่อทำการเบรก ทำให้รถยนต์สามารถควบคุมอาการ Oversteer ได้แบบ “on demand” เพื่อมอบสัมผัสอันเร้าใจ เสมือนขับขี่รถยนต์สายพันธุ์สปอร์ตตัวจริง ทั้ง 2 ระบบที่กล่าวมา ได้รับการออกแบบ และปรับจูนการทำงานให้เหมาะสมกับการยึดเกาะถนนทุกรูปแบบ และทุกสไตล์การขับขี่ เพื่อมอบแรงฉุด และการตอบสนองที่ฉับไวสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งทะยานในสนามแข่ง หรือวิ่งตะลุยไปบนเนินทรายพื้นน้ำแข็ง หรือทางดิน

กำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 800 CV (588 kW) ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดรวม 950 Nm ที่1,750 รอบต่อนาที และสูงสุดที่ 5,750 รอบต่อนาที พร้อมมอบประสิทธิภาพสูงสุดในทุกแง่มุมของการขับขี่ โดยผลลัพธ์อันน่าประทับใจนี้ มาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนัก (Weight-to-Power Ratio) ที่ 3.13 kg/CV (เปรียบเทียบกับ 3.3 ในรุ่น Urus S) โดย Urus SE สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.4 วินาที (Urus S ที่ 3.5 วินาที) และจาก 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 11.4 วินาที (Urus S ที่ 12.5 วินาที) สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 312 กม./ชม. (Urus S ที่ 305 กม./ชม.) ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ SE เป็นรถยนต์ที่ทรงพลังสูงสุดของตระกูล Urus และสร้างมาตรฐานใหม่ในกลุ่มรถยนต์ Super SUV อย่างแท้จริง

Urus SE คือ การสร้างนิยามใหม่ให้กับงานออกแบบรถยนต์อันโฉบเฉี่ยว เปลี่ยนแนวคิดของดีไซน์ SUV ไปอย่างสิ้นเชิง พร้อมนำเสนอเส้นสายใหม่ที่สื่อถึงการอัพเกรดประสิทธิภาพระบบอากาศพลศาสตร์ได้อย่างชัดเจน เช่น ด้านหน้าที่หรูหราด้วยการออกแบบฝากระโปรงทรงใหม่แบบ Floating Design ลบเส้นสายที่เป็นตัวแบ่งส่วนต่างๆ ทิ้งไป เพื่อเสริมความรู้สึกลื่นไหลต่อเนื่อง และเน้นย้ำถึงรูปทรงแบบนักกีฬา ชวนให้นึกถึงแนวคิดการออกแบบแนวใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรุ่น Revuelto นอกจากนี้ยังเสริมด้วยองค์ประกอบใหม่ๆ อีกมากมาย ทั้งจากชุดไฟหน้าที่ใช้เทคโนโลยี Matrix LED ซึ่งเป็นดีไซน์ซิกเนเจอร์ใหม่ล่าสุด ที่มีแรงบันดาลใจมาจากหางวัวกระทิง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ ลัมโบร์กินี ตลอดจนการออกแบบส่วนกันชนท้าย และตะแกรงหน้าใหม่ในทุกรายละเอียด

“การออกแบบ และสัดส่วนของ Urus ยังคงสวยงามอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบ และยังสะท้อนถึงความเป็น ลัมโบร์กินี อย่างไร้ที่ติ” มร. มิตจาโบร์เคิร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายการออกแบบ ลัมโบร์กินี กล่าว “ในขณะเดียวกัน Urus SE แสดงถึงวิวัฒนาการอันเปี่ยมเสน่ห์อย่างยิ่ง ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาการออกแบบระดับไอคอนิกอันยอดเยี่ยมของเรา และที่สำคัญ คือ การมอบสัมผัสอันหรูหรายิ่งกว่าเดิม ด้วยโปรแกรมการตกแต่งแบบ Ad Personam โดยเรานำแรงบันดาลใจมาจากรุ่นRevuelto พร้อมฝากระโปรงรถแบบ Floatingเ พื่อมอบเส้นสายที่สะอาดตา และรูปทรงส่วนหน้าที่แข็งแกร่งบึกบึน

โดยระบบไฟหน้าที่ล้ำสมัยได้ผสานดีไซน์ซิกเนเจอร์แบบ DRL ไว้อย่างลงตัว การออกแบบส่วนท้ายให้ความสำคัญกับความกว้าง ตกแต่งด้วยดิฟฟิวเซอร์แบบใหม่ และปรับช่องติดป้ายทะเบียนให้มีระดับต่ำลง ดีไซน์ตะแกรงหลังนำแรงบันดาลใจมาจาก Gallardo สำหรับการออกแบบห้องโดยสารภายในยังคงสืบทอดปรัชญา “Feel like a pilot” เพื่อยกระดับการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างนักขับ และระบบดิจิทัลภายใน”

สำหรับการออกแบบส่วนท้าย มีการจัดสรรพื้นที่เก็บสัมภาระใหม่ทั้งหมด โดยนำรูปทรงที่ต่อเนื่องมาจากรุ่น Gallardo โดยผสานเส้นสายต่างๆ อย่างกลมกลืน เชื่อมต่อชุดไฟท้ายด้วยดวงไฟรูปตัว “Y” และดิฟฟิวเซอร์หลังรูปแบบใหม่ ซึ่งทำให้รถยนต์มีสัดส่วนความสปอร์ตมากขึ้น รวมถึงสปอยเลอร์ใหม่ ยังทำงานร่วมกับดิฟฟิวเซอร์หลัง ในการช่วยเพิ่มแรงกดด้านหลังขณะวิ่ง ด้วยความเร็วสูงเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Urus S จึงเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่มากยิ่งขึ้น

ประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ได้ถูกยกระดับขึ้นด้วยการออกแบบท่อระบายลมที่ส่วนล่างตัวรถ และท่อลมเข้าแบบปรับปรุงใหม่ พร้อมออกแบบช่องทางลมให้ต่อเนื่องมากขึ้น เพื่อลดความร้อนของชิ้นส่วน และเครื่องยนต์ได้ดีกว่าเดิม มีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่น Urus เดิมถึง 15% การออกแบบส่วนหน้ายังผสานกับการเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ด้านล่าง เพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศ และระบายความร้อนให้กับระบบเบรก ซึ่งมีประสิทธิภาพการระบายความร้อนด้วยอากาศสูงขึ้นถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเก่า

Urus SE เสนอออพชั่นการตกแต่งที่เหนือชั้นที่สุดในรถยนต์คลาสเดียวกัน โดยมีทั้งล้ออัลลอยด์รุ่นอัพเดตใหม่ พร้อมดีไซน์Galanthus ขนาด 23 นิ้ว เป็นรุ่นมาตรฐาน พร้อมยาง Pirelli P Zero รุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังมีโทนสีตัวรถให้เลือกมากมายและออพชั่นการตกแต่งอีกมากกว่า 100 องค์ประกอบ พร้อมนำเสนอ 2 โทนสีใหม่ ในวันเปิดตัวทั้งโทนสี Arancio Egon (สีส้ม) ที่จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Arancio Apodis (สีส้ม) และโทนสี Bianco Sapphirus (สีขาว) จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Terra Kedros (สีน้ำตาลแดง)

ออพชั่นการตกแต่งภายในมอบทางเลือกคู่สีอีกกว่า 47 แบบ และการเย็บตะเข็บตกแต่งถึง 4 สไตล์ (Q-Citurastitching) พร้อมออพชั่นในโปรแกรมการตกแต่ง Ad Personam ที่ช่วยให้เจ้าของ Urus SE สร้างสรรค์รถยนต์ให้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครเพียงหนึ่งเดียวในโลก

การตกแต่งภายในได้รับการอัพเดตใหม่ เพื่อขับเน้นดีไซน์ระดับซิกเนเจอร์ “Feel like a pilot” อันเป็นเสมือนดีเอ็นเอของ ลัมโบร์กินี โดยนำเสนอฟีเจอร์ใหม่มากมาย บริเวณแผงหน้าปัดด้านหน้า และยกระดับภาพลักษณ์รถยนต์น้ำหนักเบาเหมือนกับในรุ่น Revuelto เช่น หน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นเดิม ถูกติดตั้งไว้บริเวณกลางแผงหน้าปัด และแสดงผลกราฟิก Human Machine Interface (HMI) เวอร์ชั่นใหม่ ที่ใช้งานได้ง่ายดาย และเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมือนที่พบได้ในรุ่น Revuelto โดยทีมนักออกแบบ Lamborghini Centro Stile ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบท่อลม โดยตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียมเคลือบผิวในรูปทรงตัว “Y” อันเป็นเอกลักษณ์ ตลอดจนหุ้มส่วนตกแต่งแผงหน้าปัดและเบาะนั่ง ด้วยวัสดุใหม่ นอกจากนี้ยังออกแบบแผงปุ่มกดแบบกลไก เพื่อให้ได้สัมผัสของการกดที่สมจริง

ผู้ขับยังสามารถใช้งานทั้งแผงควบคุมรวมแบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว และจอทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว ที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งถูกรวมเข้าไว้ด้วยกันตรงกลางแผงหน้าปัด และยังเป็นเสมือนหัวใจหลักของระบบ Lamborghini Infotainment System (LIS) นอกจากนี้ยังนำเสนอระบบวัดระยะสำหรับรุ่น SE และจอแสดงผลแบบใหม่ ที่ทำงานสัมพันธ์กับระบบช่วยขับต่างๆ ช่วยให้ผู้ขับสามารถรับรู้สภาวะรอบด้านได้ดียิ่งขึ้น

แผงควบคุม “Tamburo” ถูกติดตั้งบริเวณกลางคอนโซล เพื่อให้ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันได้อย่างง่ายดาย และด้วยการใช้ระบบส่งกำลังแบบไฮบริด เมื่อรวมโหมดการขับขี่ของ Urus ทั้ง 6 แบบเข้ากับการทำงาน Electric Performance Strategies (EPS) แบบใหม่อีก 4 แบบ ทำให้นักขับมีตัวเลือกทั้งหมดมากถึง 11 ออพชั่น ประกอบด้วยโหมดพื้นฐานทั้ง Strada, Sport, Corsa (สำหรับท้องถนน และสนามแข่ง) รวมถึง Neve, Sabbia และ Terra (สำหรับพื้นผิวที่มีการยึดเกาะแตกต่างจากพื้นยางมะตอย) โดยสามารถทำงานร่วมกับออพชั่นระบบ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

มร.สเตฟาโน คอสซัลเตอร์ ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ Lanzador และ Urus ลัมโบร์กินีกล่าวว่า “Urus SE คือวิวัฒนาการครั้งสำคัญ ซึ่งไม่ใช่เพียงแนวคิดด้านความยั่งยืนจากการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมหาศาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาด้านสมรรถนะ และสัมผัสแบบรถยนต์สปอร์ตอีกด้วย สิ่งเหล่านี้เกิดจากการใช้โซลูชั่นเชิงเทคนิคที่ล้ำสมัย ซึ่งเริ่มต้นขึ้นจากระบบส่งกำลังแบบไฮบริด ทำให้ Urus SE ของเราเป็น Super SUV ที่ผสานหัวใจสำคัญทั้ง 2 ด้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ หนึ่งคือพลังงานจากการเผาไหม้ ที่เป็นรากฐานสำคัญของแบรนด์ และอีกหนึ่ง คือพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นอนาคตใหม่ในโลกยานยนต์ เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทำให้รถยนต์รุ่นนี้ คือ การตีความบุคลิกภาพของ ลัมโบร์กินี ที่เด่นชัดในรูปลักษณ์ใหม่ และก้าวสู่เวอร์ชั่นใหม่ได้อย่างน่าทึ่ง”

ระบบ EV Drive ช่วยให้ผู้ขับได้สัมผัสประสบการณ์ และศักยภาพของพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อได้รับการปรับแต่งมาเพื่อวิ่งบนท้องถนนในเมือง โดยสามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 60กม. และเร่งความเร็วสูงสุดที่ 130 กม./ชม. เมื่อทำความเร็วสูงกว่านี้เครื่องยนต์ V8 ก็จะเข้ามาสนับสนุนการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า เช่นเดียวกันเมื่อผู้ขับต้องการแรงบิดที่มากกว่าระดับสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า

ระบบ Hybrid สามารถเลือกใช้ได้ เมื่อขับขี่ในโหมด Strada มอบประสิทธิภาพ และความสบายสูงสุดบนการทำงานที่สมดุลระหว่างเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า และแน่นอนถือเป็นโหมดใช้งานแบบอเนกประสงค์ที่เหมาะสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน, ระบบ Recharge สามารถเลือกได้เมื่อใช้โหมด Strada, Sport, Corsa และNeve โดยสามารถชาร์จไฟให้แบตเตอรีได้ถึง80% โดยที่ยังให้สมรรถนะการขับขี่สูงสุด ส่วนระบบPerformance เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องสัมผัสศักยภาพที่แท้จริงของUrus SE ซึ่งไม่เพียงเลือกได้ในโหมด Strada, Sport และCorsaเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโหมด Sabbia และTerra อีกด้วยโดยมอบประสิทธิภาพด้านพลศาสตร์ที่เหนือชั้นของ Super SUV ตัวจริง แม้ไม่ได้วิ่งบนพื้นยางมะตอย

เมื่อวิ่งในโหมดที่แตกต่างกันสปริงจะปรับเปลี่ยนการทำงาน เพื่อสร้างค่าความสูงรถที่เหมาะสม ตั้งแต่การเดินทางระยะ 15 มม. ในโหมด Corsa ไปจนถึงสูงสุดที่ 75 มม. เมื่อระบบยกตัวรถทำงานเต็มที่ นอกจากนี้พารามิเตอร์ที่คอยปรับพวงมาลัยระบบการขับขี่ และเสียงเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบV8 ก็จะทำงานแบบแปรผันเช่นกันเพื่อสะท้อนถึง “บุคลิก” ที่แตกต่างของ Urus SE

ทีมผู้พัฒนายังให้ความสำคัญอย่างมาก กับระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (Air Suspension) เพื่อเน้นประสบการณ์การขับขี่ของแต่ละโหมดให้โดดเด่นยิ่งขึ้น โดยในโหมด Strada ได้เพิ่มระดับความสบายของรถยนต์ Urus S ให้มากขึ้นไปอีก ส่วนในโหมด Sport จะเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่ โดยเสริมคาแรกเตอร์ของระบบส่งกำลังแบบใหม่ในการสตาร์ท และการดริฟต์ ที่มันส์อย่างต่อเนื่อง, โหมด Corsa ออกแบบมาเพื่อการพุ่งทะยานในสนามแข่งขัน ทำให้ Urus SE โชว์ศักยภาพด้านพลศาสตร์ได้อย่างเต็มที่ ด้วยการติดตั้งหน่วยควบคุมไฟฟ้า (ECU) สำหรับระบบกันสะเทือน

ซึ่งช่วยควบคุมรูปแบบการเคลื่อนไหวของโครงแชสซี (ทั้งการ Pitch,Yaw,Roll และPump) ซึ่งทำให้ตัวรถมีความเสถียรสูง และตอบสนองกับขอบสนามแข่งได้อย่างฉับไว รวมไปถึงการวิ่งบนทางขรุะขระ และพื้นผิวที่มีการยึดเกาะต่ำ ซึ่งเกิดจากการติดตั้งเหล็กกันโคลงที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า 48V ส่วนในโหมด Neve, Stabbia และ Terra ได้ถูกปรับปรุงประสิทธิภาพใหม่ เพื่อเสริมประสิทธิภาพแรงกระทำกับพื้นถนนที่สม่ำเสมอ และสร้างแรงฉุดที่ดีที่สุดบนพื้นผิวทุกประเภท