บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์ เอ็มจี ในประเทศไทย เผยความพร้อมในทศวรรษที่สอง กับการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศชั้นนำทั่วภูมิภาคอาเซียน ด้วยไลน์การผลิตที่ครบทุกรูปแบบการขับเคลื่อน กำลังการผลิตสูงสุด 100,000 คันต่อปี ด้วยงบลงทุนแล้วกว่า 30,000 ล้านบาท โดยสามารถผลิตได้ทั้งรถยนต์สันดาปภายใน รถยนต์พลังงานทางเลือก
และล่าสุดด้วยการเพิ่มไลน์การผลิตรถ EV นำร่องด้วย New MG4 Electric รุ่นประกอบในประเทศ พร้อมโรงงานแบตเตอรี่ EV รองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของการใช้รถ EV ในประเทศ และแถบภูมิภาคอาเซียน พร้อมเผยความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่ New Energy Industrial Park โดยพื้นที่ทั้งหมด ได้เปิดใช้งานอย่างเต็มรูปแบบแล้ว โดยมี Partner บริษัทชั้นนำร่วมเข้ามาอยู่ในพื้นที่ สำหรับพัฒนาชิ้นส่วนรถยนต์ MG ซึ่งสามารถกระจายรายได้สู่ภาคประชาชน ด้วยการจ้างงานคนไทยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 98%
ประเทศไทย ถือเป็นประเทศยุทธศาสตร์ที่ MG มุ่งมั่นเข้ามาดำเนินธุรกิจ และทำการตลาดในระยะยาว ด้วยความมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทย ทั้งในแง่ของอัตราการเติบโต และการใช้งานรถภายในประเทศ ผนวกกับทำเลที่ตั้ง ที่มีโอกาส และความเป็นไปได้ ในการส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน MG จึงได้สร้างโรงงานผลิตรถยนต์แบบครบวงจร ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรม WHA ESIE 2 (ดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2) จังหวัดชลบุรี ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 437.5 ไร่ โดยพื้นที่กว่า 300 ไร่ ใช้เป็นส่วนของโรงประกอบตัวถัง (Body Shop), โรงพ่นสีรถยนต์ (Paint Shop), โรงประกอบรถ (General Assembly Shop) อีกทั้งยังครอบคลุมในส่วนของคลังจัดเก็บอะไหล่ เพื่อรองรับรถยนต์ของ MG ทุกรุ่น
และ ล่าสุด เมื่อปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา MG ได้ลงทุนครั้งใหญ่ ในการพัฒนาพื้นที่ ในส่วนที่เหลืออีกกว่า 137.5 ไร่ ให้เป็นส่วนของ New Energy Industrial Park เพื่อรองรับการเติบโตของรถ EV และเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าให้สมบูรณ์ ตั้งแต่ต้นน้ำ สู่ปลายน้ำ ซึ่งในส่วนที่พัฒนาใหม่นี้ประกอบด้วย โรงประกอบแบตเตอรี่ EV และส่วนของพื้นที่สำหรับพัฒนาชิ้นส่วน เพื่อการประกอบรถยนต์ MG ร่วมกับ Partner บริษัทชั้นนำ จึงทำให้ MG เป็นแบรนด์ที่สามารถผลิต และประกอบรถยนต์ได้ครบ ทุกรูปแบบการขับเคลื่อนจากฐานการผลิตภายในประเทศ กับกำลังการผลิตสูงสุด 100,000 คันต่อปี
นาย สุโรจน์ แสงสนิท รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด กล่าวว่า “โรงงานการผลิต และประกอบรถยนต์ MG เป็นโรงงานที่มีการใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยี อาทิ นวัตกรรมระบบอัตโนมัติ (Automations), หุ่นยนต์อัจฉริยะ (Intelligent Robotics) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพ และความแม่นยำในไลน์การผลิต ผนวกกับทักษะความเชี่ยวชาญ และความชำนาญของบุคลากรในกระบวนการผลิต ซึ่งทำให้มีข้อได้เปรียบในกระบวนการการผลิต ที่สามารถรองรับการผลิตรถยนต์ทุกรูปแบบการขับเคลื่อน
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา MG ได้ลงทุนเพิ่ม และเริ่มเดินสายการผลิตรถ EV ภายในประเทศ โดยเป็นไปตามแผนงานการลงทุนของบริษัทแม่อย่าง SAIC Motor Corporation และสอดรับกับนโยบาย EV ของภาครัฐ ประเดิมการผลิตรุ่นแรกด้วย New MG4 Electric ซึ่งเป็น Global EV รุ่นยอดนิยม ที่มียอดขายสะสมทั่วโลก ณ ปัจจุบัน มากกว่า 180,000 คัน โดยในสายการผลิตที่ประเทศไทยจะประกอบด้วย New MG4 Electric รุ่น Standard Range และรุ่น Long Range ซึ่งได้เริ่มเดินสายการผลิต ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และได้ส่งมอบสู่ลูกค้าในช่วงเมษายนที่ผ่านมา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในฐานะแบรนด์ผู้บุกเบิกตลาด EV ทาง MG ไม่ได้ให้ความสำคัญแต่เพียงตัวรถอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่เรายังขยายความแข็งแกร่งของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อรองรับการใช้งานรถ EV ในทุกมิติ เราจึงได้ลงทุนในส่วนของโรงงานแบตเตอรี่ ภายใต้ชื่อ HASCO-CP Battery Shop ซึ่งถือเป็นโรงงานแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน โดยแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ
ได้แก่ ส่วนแรก คือ การประกอบแบตเตอรี่ ประกอบด้วยสายการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัย อย่างการนำหุ่นยนต์ (Robotic) เข้ามาช่วยในการผลิต เพื่อให้ได้มาตรฐานที่แม่นยำ, เทคโนโลยี AGV (Automated Guided Vehicle) ที่ใช้ในการกำหนดการเคลื่อนที่ของชิ้นงานตามเส้นทาง รวมถึงระยะเวลาการทำงาน และคุณภาพการผลิตที่แม่นยำ, การเชื่อมโดยเลเซอร์ (Laser Welding) เพื่อให้ได้คุณภาพของการเชื่อมที่ดี, การตรวจสอบด้วย CCD (Charge Coupled Device) เพื่อความแม่นยำในการตรวจสอบเทียบกับต้นแบบในทุกขั้นตอน ก่อนนำไปประกอบใส่ในตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100%
ส่วนที่สอง คือ ส่วนการทดสอบมาตรฐานของแบตเตอรี่กว่า 60 ขั้นตอน ซึ่งได้รับรองคุณภาพ และการตรวจสอบภายใต้มาตรฐานยุโรป และเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันกับสายการผลิตระดับโลก โดยโรงงานแห่งนี้ สามารถประกอบแบตเตอรี่ Cell-To-Pack ได้สูงสุดมากกว่า 50,000 แพ็คต่อปี และนำแบตเตอรี่มาใช้ในการประกอบรถ New MG4 Electric เป็นที่เรียบร้อย”
นาย สุโรจน์กล่าวต่อไปว่า “MG มีส่วนสำคัญในการพัฒนาบุคลากรเชิงเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการจ้างงานภายในประเทศมีอัตราการจ้างงานบุคลากรในหลายๆ ส่วน คิดเป็นสัดส่วนบุคลากรคนไทยในบริษัทฯ มากกว่า 98% โดยมีบุคลากรทั้งสิ้นมากกว่า 1,000 คน ทั้งนี้ การพัฒนาพื้นที่ New Energy Industrial Park ซึ่ง MG ได้พัฒนาโครงการดังกล่าวขึ้นมา เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย โดยเฉพาะการเติบโตของรถ EV ในอนาคต ภายในพื้นที่แห่งนี้ ยังมีส่วนของพื้นที่ สำหรับพัฒนาชิ้นส่วนในการประกอบรถยนต์ MG ร่วมกับ Partner บริษัทชั้นนำ เพื่อจะเติมเต็มความครบวงจร และความสมบูรณ์แบบของกระบวนการผลิต ซึ่งล่าสุดได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดใช้พื้นที่ทั้งหมดอย่างเต็มรูปแบบแล้ว”
ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจอย่างแท้จริงของ MG ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ด้วยเป้าหมายใหญ่เชิงมหภาคในการลงทุนระยะยาว เพื่อร่วมเดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งอุตสาหกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และบรรลุเป้าหมายของการเป็น “ศูนย์กลาง” การผลิตรถยนต์ และรถ EV พวงมาลัยขวา เพื่อจัดจำหน่ายในประเทศ และส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน และประเทศชั้นนำทั่วโลกอย่างแท้จริง