บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ฉลองครบรอบ 100 ปี พร้อมเดินหน้าสร้างสีสันให้วงการยานยนต์ไทย ด้วยการส่งยนตรกรรมใหม่เปิดตัวอย่างต่อเนื่อง นำโดย New MG Cyberster สปอร์ตโรดสเตอร์ไฟฟ้า เปิดประทุน 2 ที่นั่ง รุ่นพวงมาลัยขวา ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน
ตามด้วยแฮทช์แบ็คไฟฟ้าที่ขับสนุก และเร้าใจอย่าง New MG4 Electric นำโดยรุ่น X Power และอีก 2 รุ่นที่ผลิตภายในประเทศ กับ รุ่น Standard Range และรุ่น Long Range ต่อเนื่องด้วย บิ๊กเซอร์ไพรส์ ที่เปิดโอกาสให้คนไทยได้สัมผัส และเป็นเจ้าของก่อนใคร กับ E-MPV ไซส์กลาง อย่าง New MG Maxus 7 ก่อนปิดท้ายด้วยสปอร์ตคูเป้ซีดาน ที่แตกต่างกว่าใครกับ New MG5 Pro โฉมล่าสุด มาพร้อมห้องโดยสารกว้างที่สุดในเซกเมนต์ และการออกแบบโฉมใหม่ที่ดูโฉบเฉี่ยวกว่าเดิม
นาย ซู๋ว หยิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งนี้ ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของแบรนด์เอ็มจีในการสร้าง “สีสัน” ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และเป็นการเดินหน้าแบรนด์สู่หมุดหมายใหญ่ในการเป็น Top 3 ของอุตสาหกรรม พร้อมสะท้อนให้เห็นถึงแนวทาง และทิศทางของแบรนด์ ที่มุ่งขยายไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligent) เข้ามาใช้ในการทำงาน รวมถึงแนะนำผลิตภัณฑ์ เอ็มจี ให้กับลูกค้าภายในงาน ด้วยยนตรกรรมที่มีความหลากหลาย เพิ่มทางเลือกให้ครอบคลุมในทุกไลฟ์สไตล์ โดย เอ็มจี นำทัพยนตรกรรมรุ่นใหม่ มาเปิดตัวพร้อมกันมากที่สุดถึง 4 รุ่น อีกทั้งยังมีแคมเปญพิเศษ สำหรับยนตรกรรมที่ครบในทุกรูปแบบการขับเคลื่อน”
เปิดขบวนกับ New MG Cyberster “การกลับมาอีกครั้งของตำนานสปอร์ตโรดสเตอร์” (The Legend is Back) แบบเปิดประทุน 2 ที่นั่ง พลังงานไฟฟ้า ที่สร้างตำนานบทใหม่ด้วยภารกิจฉลองครบรอบ 100 ปี อย่าง “Charging Into The Future” กับการเดินทางข้ามผ่านเส้นทางมากกว่า 25 ประเทศ รวมระยะทางกว่า 16,000 กิโลเมตร โดยฝาแฝด “The Turner Twins” ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
และในวันนี้ New MG Cyberster พวงมาลัยขวา พร้อมเปิดตัวเป็นประเทศแรกของภูมิภาคอาเซียน โดยถือเป็นยนตรกรรมรุ่นเรือธงของ เอ็มจี ในการบุกตลาดอีวีทั่วโลก ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นจากการออกแบบโดย SAIC’s Advanced Design Studio ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร สะกดทุกสายตา ด้วยประตูปีกนก แบบปุ่มสัมผัสเปิด-ปิด มาพร้อมกับหลังคาซอฟต์ท็อป, กระจังหน้าเรียวยาว และไฟหน้าที่ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Eye of the Storm ตามด้วยในส่วนของไฟท้ายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธงยูเนี่ยนแจ็ค รับกับเส้นสายด้านข้างที่มีความโค้งมน และล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารมากับสีทูโทน ตกแต่งด้วยวัสดุ Soft Touch พร้อมเบาะนั่งแบบ Y-Shape ที่ออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์ หุ้มด้วยวัสดุพรีเมี่ยมอย่างหนัง Nappa สลับหนัง Alcantara อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ไม่ว่าจะเป็นจอ Dashboard Triple-Screen ขนาด 7 นิ้ว ขนาด 10.25 นิ้ว และขนาด 7 นิ้ว จำนวน 3 จอเรียงต่อกัน พร้อมระบบอัจฉริยะ i-Smart, ระบบเสียงคุณภาพจาก Bose พร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง
ในด้านสมรรถนะ อัดแน่นด้วยขุมพลังมอเตอร์คู่ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้พละกำลังสูงสุดที่ 544 แรงม้า (400 กิโลวัตต์) พร้อมแรงบิดสูงสุด 725 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 3.2 วินาที มาพร้อมแบตเตอรี่ Ultra-Thin Rubik’s Cube ความจุ 77 kWh สามารถวิ่งได้ระยะทาง 503 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC, ระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ, ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ Double Wishbone และด้านหลังแบบอิสระ Multi-link ตลอดจนจัดเต็มด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน Advanced Synchronized Protection System ถึง 26 ระบบ ซึ่งครอบคลุมระบบความปลอดภัย ADAS ไว้อย่างครบถ้วน
New MG4 Electric รถแฮทช์แบ็คพลังงานไฟฟ้า 100% มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “ICON” นิยามของการเป็นต้นแบบ และมาตรฐานใหม่ของรถอีวีที่ขับสนุก พัฒนาบนแพลตฟอร์ม Nebula Pure Electric Platform ที่ดีไซน์มาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ พร้อมจุดเด่นอันหลากหลาย เช่น การกระจายน้ำหนักแบบสมมาตร 50:50, ตัวถังมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ (Low Centre of Gravity), ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังอิสระแบบ 5-Link Suspension พร้อมระบบความปลอดภัยมาตรฐาน Advanced Synchronized Protection System ถึง 26 ระบบ
โดย เอ็มจี ได้ต่อยอดความสำเร็จของยนตรกรรมรุ่นนี้ด้วยการเพิ่มรุ่นที่ถือเป็น ICON ของ New MG4 Electric อย่าง X Power ที่มาพร้อมขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้พละกำลังสูงสุด 435 แรงม้า (320 กิโลวัตต์) พร้อมแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 3.8 วินาที เสริมด้วยแบตเตอรี่ Rubik’s Cube Battery ขนาดความจุ 64 kWh (NMC) ที่สามารถวิ่งทำระยะทางได้ถึง 480 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้งตามมาตรฐาน NEDC
ภายนอกโดดเด่นด้วยโทนสีใหม่ สีเขียว Wild Hunter Green พร้อมหลังคาแบบทูโทน (Blacktop), ล้ออัลลอยด์ขนาด 18 นิ้ว และภายในให้ความสปอร์ตพรีเมี่ยม ด้วยวัสดุหุ้มเบาะที่ผสมผสานระหว่างหนังสังเคราะห์ และหนังอัลคันทาร่า เพิ่มเติมระบบ One Pedal เข้ามา เฉพาะในรุ่น X Power
ส่วนรุ่นที่ผลิตจากสายการผลิตในไทยอย่างรุ่น Standard Range (49kWh) สามารถวิ่งทำระยะทางได้ถึง 423 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC และรุ่น Long Range (64kWh) สามารถวิ่งทำระยะทางได้ที่ 540 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC เพื่อมอบ “ความเป็นที่สุด” ของ“แฮทช์แบ็คอีวีที่ขับสนุก”(The Best Enjoyable EV) ซึ่งทั้ง 2 รุ่น จะมาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังสูงสุดที่ 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร
ทั้งยังมีการปรับเปลี่ยน และเพิ่มเติมฟังก์ชั่นทั้งภายนอก และภายในรถ อาทิ ระบบ Adaptive Grille ช่วยระบายความร้อนของรถแบบอัตโนมัติ มาพร้อมการติดตั้งใบปัดน้ำฝนด้านหลัง, หน้าจอสีระบบสัมผัสที่ปรับให้ใหญ่ขึ้นจาก 10.25 นิ้ว เป็น 12 นิ้ว ทั้งยังเพิ่มช่องวางแก้วด้านข้างประตู และราวมือจับสำหรับผู้นั่งโดยสาร (Assist Grip) 3 ตำแหน่ง มาเป็นมาตรฐาน ส่วนล้ออัลลอยด์ของรุ่น รุ่น Standard Range จะมากับขนาด 17 นิ้ว พร้อม Aero Wheel Cover ขณะที่รุ่น Long Range จะมากับล้ออัลลอยด์ขนาด 18 นิ้ว พร้อมสีตัวถังใหม่ คือ สีส้ม (Fizzy Orange)
New MG Maxus 7 ยนตรกรรม E-MPV ไซส์กลาง ขนาด 7 ที่นั่ง เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ากลุ่มครอบครัวสมัยใหม่ พร้อมฟังก์ชั่น และฟีเจอร์ที่ทันสมัย ตลอดจนงานดีไซน์ที่โดดเด่นตามแบบฉบับของ MG Maxus Series ทั้งงานออกแบบ และฟังก์ชั่นการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น ประตูสไลด์ด้านข้างเปิด – ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมฝาท้ายไฟฟ้า, ที่เปิดประตูแบบเก็บซ่อนในตัวรถ และหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ
ภายในเน้นเรียบหรู ด้วยโทนสีดำ และสีน้ำตาล กับดีไซน์คอนโซลหน้าแบบ Dual Layer พร้อมที่วางแก้ว รองรับการชาร์จแบบไร้สาย, เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และห้องโดยสารที่ให้ความสบายมากกว่า พร้อมที่นั่งแบบ Captain Seat ในแถวที่ 2 ซึ่งโอบรับกระชับทุกสรีระ นอกจากนี้ ยังช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการขับขี่ และการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ด้วยหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ตลอดจนสามารถเปลี่ยนรถให้เป็นแหล่งพลังงานได้ด้วยระบบ V2L ที่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าระดับ 6.6 kW
นอกจากนี้ New MG Maxus 7 ยังมากับสมรรถนะชั้นเยี่ยม ด้วยขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุดที่ 245 แรงม้า พร้อมแรงบิด 350 นิวตัวเมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ขนาดความจุ 90 kWh สามารถวิ่งได้ระยะทางกว่า 480 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP
New MG5 Pro สปอร์ตคูเป้ซีดานโฉมล่าสุด มีการปรับให้โฉบเฉี่ยวสะกดทุกสายตายิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ Black Chrome Gladius Grille Design เสริมความเป็นสปอร์ตพรีเมี่ยมด้วยวัสดุ Smoke Chrome รอบคันและล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วสีดำ ประกบไฟหน้า และไฟท้ายแบบ LED ดีไซน์ใหม่
ภายในห้องโดยสารกว้างสุดในเซ็กเมนต์ จัดเต็มด้วยฟังก์ชั่นที่ให้มาครบครัน พร้อมดีไซน์สุดล้ำโดยเฉพาะการออกแบบคอนโซลกลางแบบ Driver-Focus Cockpit ให้องศาที่เหมาะกับตำแหน่งคนขับ, เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง, หลังคาซันรูฟขนาดใหญ่ ทั้งยังคำนึงถึงผู้ใช้รถด้วยช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, หน้าจอทัชสกรีนขนาด 10 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว รองรับระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple Car Play และ Android Auto แบบไร้สาย รวมถึงระบบกุญแจแบบ Digital Key ที่สามารถรับ-ส่งโค้ดผ่านทางแอพพลิเคชั่น i-Smart โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องใช้กุญแจในการสตาร์ท
ตลอดจนมอบความมั่นใจ ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป Advanced Synchronized Protection System ที่ทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ, ระบบป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA, ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน, ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Detection System, ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง 3 มิติ, ระบบควบคุมการทรงตัวในขณะเข้าโค้ง, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และการลื่นไถล, ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน, ถุงลมนิรภัย 6 จุด มาพร้อมสีตัวถังที่มีให้เลือกมากถึง 6 สี พร้อมสีใหม่ คือ สีเขียว Mineral Green เป็นไฮไลท์