นิสสัน แบรนด์รถยนต์จากญี่ปุ่นในดวงใจใครหลายคนเพิ่งฉลองครบ 90 ปีเต็มของการก่อตั้งไปหมาดๆ เมื่อปลายเดือนธันวาคมนี้ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นิสสัน มักมีสิ่งใหม่ๆ ที่ผู้คนคาดไม่ถึงมานำเสนออยู่ตลอด เพราะงั้นมาดูกัน กับเส้นทางก้าวไปสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก ตลอด 9 ทศวรรษที่ผ่านมา นิสสัน ทำอะไร และมีอะไรบ้างที่ นิสสัน กล้าจะทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ “Dare To Do What Others Don’t”
นิสสัน มอเตอร์ ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1933 ณ เมืองโยโกฮามา เพื่อผลิตรถยนต์ขึ้นเองในประเทศญี่ปุ่น โดยจะเป็นรถยนต์ที่ผลิตจำนวนมาก หรือ Mass Production ซึ่งมีราคาพอสมควร สามารถแข่งขันกับแบรนด์รถยนต์จากต่างประเทศได้ เพื่อให้คนมีโอกาสได้ใช้รถกันอย่างสะดวก
หลังจากก่อตั้งแล้วไม่นาน นิสสัน มอเตอร์ ก็เริ่มส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชีย, อเมริกา และภูมิภาคต่างๆ ก่อนจะขยายธุรกิจไปทั่วโลก ทั้งยังมีโรงงานผลิตในหลายๆ ภูมิภาค โดยในปัจจุบัน นิสสัน มีโรงงานผลิตในประเทศไทย ซึ่งผลิตทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถยนต์กระบะหนึ่งตันเพื่อการพาณิชย์ รวมถึงเป็นฐานการประกอบแบตเตอรี่ และชุดขับเคลื่อนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ e-POWER (อี-พาวเวอร์) เพื่อส่งออกไปยังทั่วภูมิภาคอาเซียน และหลายประเทศทั่วโลก
นิสสัน มอเตอร์ ยังได้ร่วมมือทางเทคนิค และเข้าซื้อกิจการบริษัทอื่นๆ เช่น การร่วมมือด้านเทคนิคกับ ออสติน มอเตอร์ ของอังกฤษ หรือ การเข้าซื้อกิจการ ปริ๊นซ์ มอเตอร์ เป็นต้น และนั่นทำให้รถยนต์ของ นิสสัน มีความหลากหลาย และมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อผนวกกับความสามารถของทีมวิศวกรชั้นนำของ นิสสัน ทำให้ตลอด 90 ปี ที่ผ่านมา นิสสัน ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นครั้งแรกของโลกมากมาย
เช่น รถมินิแวนรุ่นแรกของโลก (Prairie Model M10), การใช้หุ่นยนต์แบบหลายแขน (Multi-Arm Robot) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และความแม่นยำในการผลิต, การพัฒนารถขับเคลื่อน 4 ล้อที่ใช้ระบบกันสะเทือนแบบมัลติลิ้งค์, เทคโนโลยี Bird Eye View Navigation การพัฒนารถรุ่น Bluebird Sylphy ที่ผลิตไอเสียต่ำ หรือแม้กระทั่ง Super Ultra-Low Emission Vehicle ซึ่งปล่อยไอเสียน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดได้ถึง 75% และรุ่นที่คนขับรถหลายคนทั่วโลกพอจะคุ้นหน้ากัน คือ นิสสัน ลีฟ (Nissan Leaf) รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของโลกที่ผลิต และขายในเชิงพาณิชย์
ผลงานที่สะท้อนความ “Dare To Do What Others Don’t” มากที่สุดของ นิสสัน จะมีทั้งสองขั้ว คือ ฝั่งสมรรถนะ กับฝั่งที่เป็นรถยนต์พลังงานทางเลือก เพื่อความยั่งยืน ขณะที่กลุ่มรถสมรรถนะสูง แน่นอนว่าชื่อของ Skyline, GT-R, และ Z ต่างก็ล้วนเป็นรถในฝันของนักเลงรถ เพราะไม่เป็นสองรองใครในเรื่องของวิศวกรรม การออกแบบ และประวัติในฐานะแชมป์สนามแข่งระดับตำนาน รวมถึงสุดยอดความภูมิใจของ นิสสัน อาทิ Nissan GT-R ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพในสนามแข่ง
และยังเป็นครั้งแรกที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น เอาชนะค่ายรถยนต์ที่เคยครองแชมป์สนามแข่งมาหลายปีในหลายๆ สนามได้อย่างราบคาบในยุค 1960s และมีการพัฒนาต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ โดยรุ่นล่าสุด คือ GT-R R35 หรือแม้กระทั่งในงาน Japan Mobility Show หรือโตเกียวมอเตอร์โชว์โฉมใหม่ ซึ่งจัดไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยหนึ่งในคอนเซ็ปต์คาร์ของ นิสสัน ก็ยังรวมถึงรถสมรรถนะสูงอย่าง Hyper Force (ไฮเปอร์ ฟอร์ซ) ซึ่งเปรียบเสมือนตัวตายตัวแทนของ GT-R R35 อีกด้วย
ในอีกขั้วหนึ่ง คือ รถยนต์พลังงานทางเลือกที่กำลังเป็นเทรนด์สำคัญในปัจจุบัน ซึ่งเรากำลังเผชิญผลกระทบจากภาวะโลกร้อน และความต้องการของการใช้พลังงานสะอาด อย่างเช่น ยานยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ซึ่งที่จริงแล้วรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่สำหรับ นิสสัน เพราะรถยนต์พลังงานไฟฟ้า อยู่คู่ประวัติศาสตร์ นิสสัน มาเกือบ 80 ปีแล้ว
นั่นก็คือ รถไฟฟ้ารุ่นแรกชื่อ TAMA ที่ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 1947 หลังสงครามโลกจบลงใหม่ๆ ซึ่งญี่ปุ่นขาดแคลนน้ำมัน อาหาร และทรัพยากรต่างๆ แต่มีพลังงานไฟฟ้ามาก เพราะแทบจะไม่มีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน หรือการผลิตเลย ทำให้เกิดไอเดียที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าขึ้น โดย TAMA วิ่งได้ไกลถึง 96 กิโลเมตร ด้วยความเร็ว 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าล้ำหน้ามากในยุคนั้น
นับจนถึงวันนี้ รถยนต์ไฟฟ้า กลับมาเป็นความหวังของคนทั้งโลกอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะพลังงานไฟฟ้ามีเหลือเฟือ แต่เพราะคนทั้งโลก ตระหนักถึงความรับผิดชอบในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนมากขึ้น ทาง นิสสัน เองก็ได้พัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าต่อเนื่อง เช่น นิสสัน ลีฟ (Nissan Leaf), นิสสัน ซากุระ (Nissan Sakura) และนิสสัน อริยะ (Nissan Ariya)
แม้กระทั่งคอนเซ็ปต์คาร์ทั้ง 5 รุ่นของ นิสสัน ที่จัดแสดงในงาน Japan Mobility Show ที่ผ่านมา ก็เป็นรถพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด รวมทั้งยังพลิกโฉมดีไซน์ และฟังก์ชั่นการใช้งานเพื่อสะท้อนให้เห็น ว่ารถยนต์แห่งอนาคตจะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้เต็มที่ พร้อมกับแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้มากแค่ไหน จากความสามารถในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานให้สอดคล้องกับวิถีการใช้ชีวิต ตอกย้ำมุมมองของ นิสสัน ที่เชื่อว่ารถยนต์แห่งอนาคต คือ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และเทคโนโลยีรถยนต์อัจฉริยะที่จะสร้างความตื่นเต้น (Vehicle Intelligence that Electrifies Our Future)
สำหรับลูกค้าชาวไทย นิสสัน เป็นรถสามัญประจำบ้านของหลายครอบครัวมาตลอด 70 กว่าปี ที่ นิสสัน เข้ามาในประเทศไทย ตั้งแต่รุ่นแรกๆ ที่ยังคงใช้แบรนด์ Datsun (ดัทสัน) ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น Nissan (นิสสัน) เพราะความคุ้มค่า คุณภาพดี ขับขี่ และดูแลรักษาง่าย ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน หรือรถกระบะที่ขึ้นชื่อว่าทนทาน อึด บรรทุกของได้มาก วางใจได้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีรถยนต์ให้เลือกหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นรถ Sedan, SUV สำหรับครอบครัว, PPV หรือรถกระบะ รวมทั้งยังมีเทคโนโลยีการขับเคลื่อนหลากหลาย ทั้งแบบที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และเทคโนโลยี e-POWER (อี-พาวเวอร์) ที่ให้ฟีลการขับขี่แบบรถยนต์ไฟฟ้า 100% แต่ไม่ต้องชาร์จไฟจากภายนอก ทำให้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่
โดยแฟนๆ ของ นิสสัน ที่มีแพลนไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็สามารถแวะไปเยี่ยมชม นิสสัน แกลเลอรี่ (Nissan Global Headquarters Gallery) ที่โยโกฮามาได้ด้วย เพราะที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งรวบรวมเอารถยนต์รุ่นสำคัญๆ จากอดีต ถึงปัจจุบัน และคอนเซ็ปต์คาร์แห่งอนาคต ไว้ในที่เดียว และเปิดให้ผู้เข้าชมสามารถเข้าไปนั่ง หรือสัมผัสรถแต่ละรุ่นได้ ซึ่งจะทำให้เห็นพัฒนาการของรถยนต์รุ่นต่างๆ เทคโนโลยีที่น่าสนใจตลอด 90 ปีที่ผ่านมา และถ้าไม่อยากเดินละเลียดชมทีละรุ่น นิสสัน ก็ยังมีบอร์ดจัดแสดงรถจำลองคันจิ๋วแบบครบทุกรุ่นตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เรียงตามลำดับมาจนถึงปัจจุบันให้ได้ชมวิวัฒนาการกันเต็มที่ ตลอดจนมีมุมจำหน่ายของที่ระลึกเก๋ๆ อีกด้วย
โดยผู้ที่สนใจรายละเอียดมากกว่านี้ สามารถเข้าไปรับชมวีดีโอ หรืออ่านข้อมูลเรื่องราวตลอด 90 ปีของ นิสสัน ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน ได้ที่เว็บไซต์ https://www.nissan-global.com/EN/ หรือโหลดหนังสือที่สรุปเรื่อง 90 ปี ไว้ในไม่กี่หน้า ได้ที่ https://www.nissan-global.com/EN/BOOK/90TH_ANNIVERSARY/html5m.html#page=5