ผลสำรวจพบ ค่าซ่อมรถไฟฟ้าแพงกว่ารถสันดาป 20% หลังจากเกิดอุบัติเหตุ (ในอเมริกา)

แม้ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะชะลอตัวลงในช่วงนี้ แต่จำนวนการเรียกร้องค่าเสียหายจากการชนที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ยังคงเพิ่มขึ้นในอเมริกาเหนือ แม้ว่าโครงรถอาจเสียหายน้อยกว่า แต่การซ่อมแซมรถยนต์ไฟฟ้ามักมีราคาแพงกว่าเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป

ตามการศึกษาล่าสุดของ Mitchell ระบุว่าค่าสินไหมทดแทนรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ที่ได้รับความเสียหายจากการชนที่สามารถซ่อมแซมได้เพิ่มขึ้น 2.5% ในสหรัฐอเมริกาและ 3.95% ในแคนาดาในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2024 การเพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นแม้ว่ายอดขายจะชะลอตัวลง

Mitchell รายงานว่าค่าสินไหมทดแทนโดยเฉลี่ยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ในไตรมาสที่ 2 ปี 2024 อยู่ที่ 5,753 เหรียญ ในสหรัฐอเมริกา ในทางกลับกัน รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในมีต้นทุนเฉลี่ยต่ำกว่าโดยมีค่าซ่อมเฉลี่ยที่ 4,806 เหรียญซึ่งหมายความว่าการซ่อมแซมรถยนต์ไฟฟ้าที่เสียหายจากการชนมีราคาแพงกว่า 20% ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเทียบกับรถสันดาปแบบปรกติ

เมื่อพูดถึงยี่ห้อและรุ่น Tesla Model 3 และ Model Y เป็นผู้นำในด้านความถี่ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในกลุ่มรถไฟฟ้าทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของกรณีทั้งหมด ซึ่งไม่น่าแปลกใจเมื่อพิจารณาจากจำนวนรถยนต์ทั้งสองรุ่นบนท้องถนน ที่มีอยู่จำนวนมาก

ความถี่ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนรถยนต์ไฮบริดก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน รถยนต์ไฮบริดแบบปรกติซึ่งในทางเทคนิคแล้วมีความคล้ายคลึงกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน มีต้นทุนการซ่อมแซมที่ใกล้เคียงกันในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฮบริดแบบ PHEV จะมีความซับซ้อนกว่านั้นกลับมีต้นทุนการซ่อมแซมที่พุ่งสูงขึ้น 12.5% ​​เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในหลังการชน

โดยสิ่งน่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบ PHEV จะต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมระบบมากกกว่า แต่รถแบบ PHEV มีการซ่อมตัวถังรถน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภาย ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าโครงสร้างรถยนต์ไฟฟ้าอาจมีความแข็งแรงมากกว่ารถยนต์ที่ใช้ระบบ ICE แม้จะยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันชัดเจนก็ตาม

ที่มา Carscoops