การศึกษาระบุว่า มนุษย์ขับรถได้ดีในช่วงพลบค่ำมากกว่าระบบขับขี่อัตโนมัติ

ทุกวันนี้ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่แบบระบบอัตโนมัติถือว่าเป็นเรื่องปรกติแล้ว โดยมันจะมาช่วยผู้ขับขี่และช่วงลดอุบัติเหตุ และมีการติดตั้งในรถยนต์หลายรุ่นมานานแล้ว

แต่ระบบเหล่านี้อาจจะไม่เหมาะสมในบางช่วงเวลา โดยการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้วิเคราะห์การชนกันของยานพาหนะกว่า 37,000 ครั้ง และพบว่ารถที่ขับโดยมนุษย์มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุทางโค้งหรือในสถานการณ์ที่มีแสงน้อยน้อยกว่า เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอัตโนมัติ

การศึกษาซึ่งตีพิมพ์โดย Nature Communications พบว่ารถยนต์ที่ใช้ระบบอัตโนมัติเกิดอุบัติเหตุมากกว่าให้คนบังคับมากถึง 5 เท่าในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก ในทางโค้ง อัตราส่วนดังกล่าวเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับยานพาหนะที่ขับเคลื่อนโดยมนุษย์

ในส่วนของสถานการณ์ที่มีแสงน้อย การศึกษาเน้นย้ำถึงข้อจำกัดของกล้องและเซ็นเซอร์ และการไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาวะต่าง ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น เงาในช่วงเช้าตรู่หรือช่วงดึกอาจถูกตีความผิดว่าเป็นวัตถุได้ รวมทั้งระบบแสงที่ผันผวนอาจเป็นปัญหา และทำให้เกิดความสับสนภายในระบบ ในทางกลับกัน วัตถุที่อยู่ในเงามืดอาจตรวจไม่พบเลย สิ่งนี้ได้รับการสนับสนุนจากการทดสอบการชนที่แสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่ายานพาหนะ เบรกช้าหรือไม่สามารถหยุดได้เลยเมื่อพบเจอคนเดินถนนหรือสัตว์

มีหลักฐานสนับสนุนสิ่งนี้ จากการตรวจสอบการกระทำก่อนการชน ยานพาหนะส่วนใหญ่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมอัตโนมัติกำลังขับตรงไปและด้วยความเร็วคงที่ก่อนที่ในทางโค้งก่อนที่จะบังคับเลี้ยงแบบกระทันหัน แต่รถที่บังคับโดยมนุษย์จะมีการชะลอความเร็ว

การศึกษาคำนึงถึงตัวแปรมากมายเพื่อให้ได้ข้อสรุปเหล่านี้ แต่ประเด็นที่ชัดเจนก็มีความชัดเจน ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ในปัจจุบันเป็นเพียงการช่วยเหลือเท่านั้น ระบบอัตโนมัติทำงานได้ดีบนถนนที่เป็นเส้นตรง

ที่มา Motor1